UTQ-00224 การศึกษาพิเศษ : ความรู้ในการปฏิบัติงานของครูการศึกษาพิเศษ

เฉลย UTQplus - ครูระยอง

Print Friendly

UTQ-00224 การศึกษาพิเศษ : ความรู้ในการปฏิบัติงานของครูการศึกษาพิเศษ
จำนวนคำถาม : 20 ข้อ 15/20

  • ข้อใดเป็นความหมายของภาษาที่ถูกต้องที่สุด
    – น้องเอมเขียนจดหมายส่งต่อเพื่อนขณะเรียนหนังสือ
  • เทคนิคใดที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ง่ายและประสบความสำเร็จ
    – การเสริมแรง
  • ข้อใดจัดเป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้เพื่อพัฒนาภาษาและการสื่อสารสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
    – Voice Synthesizer
  • ความพร้อมของครูในด้านใดที่จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้
    – การประเมินและสังเกตพฤติกรรมอย่างเป็นระบบ
  • ข้อใดเป็นพฤติกรรมของเด็กที่ครูควรใส่ใจและช่วยเหลือเพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้
    – ขาวเดินไปเดินมา เมื่อมีคนเข้าใกล้ก็จะวิ่งหนี
  • เด็กที่เดินไปมาไม่ยอมเรียน ครูควรใช้สื่อประเภทใดในการจัดการกับพฤติกรรมได้เหมาะสมที่สุด
    – การจัดระบบงาน
  • คุณลักษณะสำคัญข้อใดที่ช่วยให้ครูการศึกษาพิเศษปฏิบัติงานได้ในความหลากหลายของผู้เรียน
    – มีวุฒิภาวะทางอารมณ์
  • นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการเรียนการสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษควรคำนึงถึงข้อใดเป็นสำคัญ
    – เหมาะสมกับความสามารถของเด็ก
  • ครูควรคระหนักถึงลักษณะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษในด้านใดที่จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้มากที่สุด
    – ความบกพร่องของเด็กแต่ละประเภท
  • กิจกรรมในข้อใดที่ทำให้ครูรู้จักผู้เรียนที่เป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
    – ถูกทุกข้อ
  • การวิจัยทางการศึกษาพิเศษจะได้ปัญหาสำหรับการทำวิจัยจากแหล่งใดบ้าง
    – การจัดการเรียนรู้และผู้เรียน
  • ข้อใดถูกที่สุด ในบทบาทของครูในการนำความรู้ทางจิตวิทยามาใช้กับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
    – การสร้างโอกาสในการเรียนรู้สำหรับผู้เรียน
  • การวิจัยเพื่อศึกษาผลการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักเรียนที่ กล้ามเนื้อมืออ่อนแรง ครูควรใช้เครื่องมือใดในการเก็บรวบรวมข้อมูล
    – แบบสังเกตและแบบทดสอบ
  • ข้อใดเป็นการปรับพฤติกรรมผู้เรียนที่สอดคล้องกับหลักการจัดพฤติกรรม
    – การปรับแต่งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมโดยสร้างพฤติกรรมใหม่
  • เดิมท่านเป็นครูในโรงเรียนที่สอนเด็กปกติ ได้ขอย้ายมาสอนใกล้บ้านซึ่งเป็นโรงเรียนเฉพาะความพิการท่านจะเตรียมตัวอย่าง ไรเพื่อมาปฏิบัติงานใโรเรียนแห่งใหม่
    – หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเด็กพิเศษเพื่อเป็นข้อมูลในการปฏิบัติงาน
  • ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการศึกษาจิตวิทยาการศึกษาสำหรับครูพิเศษ
    – วางแผนการศึกษา การจัดหลักสูตร อุปกรณ์การสอน และการบริหารได้อย่างถูกต้อง
  • เด็กออทิสติกควรใช้สื่อประเภทใดเพื่อช่วยส่งเสริมการสื่อสารได้ดีที่สุด
    – บัตรภาพ
  • ครูการศึกษาพิเศษควรนำหลักธรรมใดมาใช้ในการปฏิบัติงานที่จะทำให้มีความสุข สนุกกับงาน ทำงานได้เป็นระบบและมีความก้าวหน้า
    – อิทธิบาท 4
  • การบริหารจัดการในชั้นเรียนการศึกษาพิเศษ ข้อใดมีความสำคัญมากที่สุด
    – ครูยอมรับเด็ก
  • ครูในฐานะนักวิจัยควรมีทักษะพื้นฐานใดที่จะช่วยให้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงาน
    – มีความมุ่งมั่น สนใจใฝ่รู้ และมักแสวงหาความรู้ในการทำงาน

โดย : โอตะคุ น่ารักดี

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

“เชียงใหม่โมเดล”ขอสิทธิไม่รับนโยบายศธ.

Print Friendly

จากการเสวนาวิชาการเวทีปฏิรูปการเรียนรู้สู่การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 35 ในหัวข้อ “แผนยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่โดยใช้พื้นที่เป็นฐาน” จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) เมื่อเร็วๆนี้ นายไพรัช ใหม่ชมภู ผอ.สำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะเลขานุการภาคีเชียงใหม่เพื่อการปฏิรูปการศึกษา กล่าวว่า วิกฤติด้านการศึกษากำลังเป็นปัญหาระดับชาติ ในขณะที่การจัดการศึกษาภายใต้กรอบการทำงานแบบเดิมทำให้เกิดข้อจำกัด และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ภาคส่วนต่างๆในจังหวัดเชียงใหม่ต่างตระหนักถึงปัญหานี้จึงได้ร่วมกันจัดตั้งภาคีเชียงใหม่เพื่อการปฏิรูปการศึกษาขึ้น โดยมี 120 ภาคีเครือข่าย 80 หน่วยงาน 40 บุคคล โดยมุ่งเน้นช่วยกันจัดการศึกษาในบริบทของเชียงใหม่ หรือ เชียงใหม่โมเดล เพื่อตอบสนองต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนเชียงใหม่ได้อย่างแท้จริง โดยมีสำนักการศึกษาฯ อบจ.เชียงใหม่เป็นหน่วยสนับสนุนประสานเชื่อมโยงการทำงานทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายสำคัญมุ่งสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของคนล้านนา สร้างเด็กให้มีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ควบคู่การมีสัมมาชีพ และให้พื้นที่จัดการตนเอง เรียกว่าเป็นการมอบอำนาจการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชน เปลี่ยนจากการสั่งการไปเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้

นายเฉลิมชาติ นครังกุล ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การศึกษาคือการสร้างคนต้นน้ำ ส่วนภาคธุรกิจคือลูกค้า ที่ผ่านมาสถาบันการศึกษาจะผลิตอย่างไรก็ได้ ไม่เคยตามไปดูผลงาน จนต้องมีเสียงสะท้อนจากภาคธุรกิจเกี่ยวกับปัญหาคุณภาพของผู้เรียน ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ และหากปล่อยไว้ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของชาติ ภาคธุรกิจจึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษาทั้งที่ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวข้อง

“ ต้นเหตุของปัญหาคือค่านิยมของคนไทยที่อยากให้ลูกหลานเรียนปริญญา ทำให้สถาบันอุดมศึกษาเปิดรับเด็กตลอด ทั้งที่ควรลดอุดมศึกษาและหันไปเพิ่มอาชีวะ เหมือนประเทศเจริญแล้วที่จะมีผู้จบอุดมศึกษาเพียงร้อยละ 30แต่จบอาชีวะถึงร้อยละ 70” นายเฉลิมชาติ กล่าว

พระครูศรีสิทธิพิมล เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ตนมองว่าการศึกษาของไทยยังขาดการสอนให้คิดวิเคราะห์ รวมถึงการศึกษาสงฆ์ด้วย แม้จะมีพระที่เรียนจบเปรียญธรรม 9 ประโยค แต่ก็แค่เก่งท่องเก่งแปลบาลี เมื่อมีปัญหาทางศาสนาเกิดขึ้น ไม่เคยเห็นออกมาแสดงความคิดเห็น มีแต่พระนักพูดเพียงไม่กี่รูป นอกจากนี้ตนยังมองว่าปัญหาการศึกษาไทยส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาทางโครงสร้างที่มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อย เมื่อเปลี่ยนคนใหม่ก็เปลี่ยนนโยบายใหม่ ซึ่งบางครั้งก็ไม่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ เช่น มีนโยบายให้สอนเด็กนักเรียนว่ายน้ำ ในขณะที่เชียงใหม่ไม่เคยนึกถึงเรื่องว่ายน้ำเลย ตนจึงอยากถามว่าแต่ละจังหวัดจะสามารถปฏิเสธนโยบายจากส่วนกลางได้หรือไม่ โดยให้เลือกรับเฉพาะนโยบายที่จำเป็นสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่เท่านั้น

ศ.นพ.ประเวศ วะสี กล่าวว่า การทำปฏิรูปจะใช้วิธีสั่งไม่ได้ แต่ต้องให้เกิดจากการก่อตัวจึงจะเป็นของจริง ซึ่งรูปแบบของเชียงใหม่โมเดลเป็นตัวอย่างของกระบวนการถอนตัวจากอำนาจ มุ่งเปลี่ยนวิธีจัดการศึกษาจากการที่ครูพูดสอนไปเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยเอาชีวิตเป็นตัวตั้งไม่ใช่เอาวิชาเป็นตัวตั้ง ซึ่งโรงเรียนที่ทำได้ตามรูปแบบนี้พบว่าเด็กเรียนอย่างมีความสุข ผู้ปกครองก็มีความสุข สังคมก็มีความสุข

“ การสอนของครูก็คือการใช้อำนาจสั่งการ ซึ่งการเรียนรู้กับอำนาจไปด้วยกันไม่ได้ การสอนจึงเป็นการปิดพื้นที่ทางความคิด เพราะจะต้องท่องอย่างเดียว ไม่เกิดการเรียนรู้ ท่องแล้วก็ลืม เป็นการทุ่มกำลังไปสู่ความสูญเปล่า อีกทั้งปัญหาของประเทศไทยคือมีโครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์ จึงมีการเสนอให้คืนอำนาจให้ประชาชนมากที่สุดในรูปแบบของชุมชน หรือจังหวัดจัดการตนเอง เหมือนในสหรัฐอเมริกาที่รัฐบาลกลางไม่มีอำนาจสั่งการ แต่ท้องถิ่นจะมีอำนาจจัดการตนเองทุกเรื่อง โดยส่วนกลางแค่ทำหน้าที่สนับสนุนเชิงนโยบายและวิชาการเท่านั้น” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว

ที่มา : เดลินิวส์

สวทช. เปิดตัวเกมเรียนรู้วิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตผ่านบรรพชีวินไทย

สถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

Print Friendly

นายนำชัย ชีววิวรรธน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายสื่อวิทยาศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช.ร่วมกับบริษัทแปลนทอยส์ จำกัด เปิดตัว The Xvolution game หรือ เกมเศรษฐีไดโนเสาร์ไทย ที่รวมเอาความรู้ “ไดโนเสาร์พันธุ์ไทย” และ “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” มาผลิตในรูปแบบเกมกระดานเป็นครั้งแรก พร้อมเปิดให้ทดลองเล่นและแข่งขันชิงรางวัลที่บูธแปลน ทอยส์ ห้างสรรพสินค้าอิเซตัน ชั้น 4 ระหว่างวันที่ 8-14 มกราคม เป็นแบบเกมกระดาน (board game) ที่สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และข้อมูลบรรพชีวิน (ซากดึกดำบรรพ์) ที่ค้นพบในประเทศไทย เพื่อให้เยาวชนเข้าใจถึงทฤษฎีวิวัฒนาการและส่งเสริมให้ซากดึกดำบรรพ์ที่ค้น พบในเมืองไทยเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเกมกระดานที่พัฒนา ขึ้นนี้เหมาะสำหรับเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 8 ปีขึ้นไป สามารถเล่นได้ตั้งแต่ 2-6 คน

“ความพิเศษของ The Xvolution game เราได้ ดร.วราวุธ สุธีธร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ชนิดใหม่หลายชนิดในประเทศไทยเป็น ที่ปรึกษา ทำให้ความรู้ด้านบรรพชีวินที่สอดแทรกอยู่ในเกมมีความครบถ้วนสมบูรณ์อย่างมาก เช่น ภาพไดโนเสาร์พันธุ์ไทยที่เป็นตัวเล่นหลักในเกมกระดาน อาทิ สยามโมไทรันนัส อีสานเอนซิส สยามโมซอรัส สุธีธรนิ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน นั้น วาดขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยอ้างอิงตามหลักฐานทางวิชาการที่มีการขุดค้นพบ นอกจากนี้ สวทช. ยังร่วมกับบริษัทจีซอฟต์บิส จำกัด นำเทคโนโลยีสื่อเสมือนจริง (Augmented Reality) มาพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เด็กๆ เห็นไดโนเสาร์พันธุ์ไทยบนตาเดินในรูปแบบ 3 มิติ ที่เคลื่อนไหวและส่งเสียงร้องได้ ทั้งยังถ่ายภาพและแชร์ภาพบนโซเชียลมีเดียผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บ เล็ตได้อีกด้วย เรียกว่าครบถ้วนทั้งความสนุกและความรู้ ก็หวังว่าจะเป็นอีกสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นเรื่องสนุก สำหรับเด็กทุกคน”

นายปีย์ชนิตว์ เกษสุวรรณ เยาวชนในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเด็กและเยาวชน (JSTP) สวทช. ผู้ออกแบบเกมกระดาน กล่าวว่า จุดเด่นของ The Xvolution game ที่พัฒนาขึ้น คือ เน้นให้มีรูปแบบการเล่นที่ง่ายคล้ายกับการเล่นเกมเศรษฐีซึ่งคนส่วนใหญ่จะ คุ้นเคยอยู่แล้ว เนื้อหาของเกมสอดแทรกการเรียนรู้วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ที่ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย การต่อสู้ การป้องกันตัว การกลายพันธุ์ ฯลฯ เพื่อให้อยู่รอดและมีวิวัฒนาการที่สูงขึ้นไป โดยผู้ชนะในเกม คือ ผู้ที่แข็งแกร่งหรือมีระดับขั้นวิวัฒนาการสูงสุด

“ในเกมจะมีตาเดินทั้ง หมด 36 แผ่น แต่ละแผ่นมีลักษณะเป็นรูป 6 เหลี่ยม ซึ่งเด็กๆ สามารถนำมาต่อกันเพื่อออกแบบทางเดินเกมได้เองว่าอยากให้เป็นแบบ ไหน นอกจากนี้ยังเพิ่มความสนุกด้วยการวางตาเดินให้มีจุดแบทเทิล (battle) หรือ ต้องต่อสู้กัน ซึ่งแต่ละจุดแบทเทิลจะมีเหตุการณ์สมมุติต่างๆ เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ป่า อากาศเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง สัตว์ที่อยู่ในนั้นจะต้องต่อสู้กัน สมมุติว่าเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง อากาศเย็นมาก พวกที่มีขนปุยก็จะชนะกลุ่มที่มีหนังหนา กลุ่มที่มีหนังหนาก็จะชนะกลุ่มที่มีหนังบาง เป็นต้น ซึ่งเด็กๆ จะได้เรียนรู้ว่าเมื่อโลกเจอกับอุบัติภัยแบบนี้ สัตว์ที่สามารถอยู่รอดได้นั้น จะมีลักษณะและการปรับตัวเช่นไร และเมื่อผู้เล่นเดินครบรอบ ก็จะมีการ์ดเลเวลอัพ (level up) เพื่อเพิ่มพลังให้กับไดโนเสาร์แต่ละสายพันธุ์ เหมือนมีวิวัฒนาการมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ยุคธรณีกาลถัดไป ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงราย ละเอียดบางส่วนของเกมเท่านั้น เชื่อว่าเด็กๆ ที่ได้เล่นเกมจะได้รับความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการและรู้จักสัตว์ดึกดำ บรรพ์ของไทยมากขึ้น รวมทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าต้นแบบเกมกระดานชิ้นนี้จะช่วยเปิด ตลาดอุตสาหกรรมของเล่นวิทยาศาสตร์ไทยในอนาคต”

ที่มา : มติชน

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

สพฐ.เฟ้นผู้บริหารสถานศึกษา-รอง – ครูระยอง


สพฐ.เฟ้นผู้บริหารสถานศึกษา-รอง

กระทรวงศึกษาธิการ

Print Friendly

นางรัตนา ศรีเหรัญ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ออกประกาศการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา และผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัด สพฐ.แล้ว และได้แจ้งให้เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศทราบแล้วเพื่อดำเนินการรับสมัคร คัดเลือก โดยได้กำหนดปฏิทิน ดังนี้ รับสมัครคัดเลือก 26 ม.ค.-1 ก.พ.นี้ ไม่เว้นวันหยุดราชการ แยกเป็นกลุ่มประสบการณ์ และกลุ่มทั่วไป ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกภายในวันที่ 6 ก.พ. การประเมินผลการปฏิบัติงานและผลงานระหว่างวันที่ 9-13 ก.พ. สอบข้อเขียนความรู้ทั่วไปและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน ความสามารถในการบริหารงานในหน้าที่ วันที่ 14 ก.พ. สอบสัมภาษณ์ วันที่ 15 ก.พ. และประกาศผลการคัดเลือกภายในวันที่ 28 ก.พ.นี้

รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า ผู้ที่สอบผ่านการคัดเลือกจะต้องได้คะแนนร้อยละ 60 และจะได้รับการขึ้นบัญชีไว้ 2 ปี โดยมีตำแหน่งว่างในขณะนี้จำนวน 1,600 ตำแหน่ง ส่วนข้อสอบที่ใช้สอบคัดเลือกนั้น สพฐ.จะให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นผู้ดำเนินการออกข้อสอบ เพื่อใช้สอบพร้อมกันทุกเขตฯ ส่วนการส่งข้อสอบและการตรวจข้อสอบจะทำร่วมกันระหว่าง สพฐ.กับสถาบันอุดมศึกษา ทั้งนี้หลังการคัดเลือกรองผู้อำนวยการสถานศึกษาและผู้อำนวยการสถานศึกษาแล้ว สพฐ.จะคัดเลือกครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษต่อไป โดยจะเปิดสอบคัดเลือกเฉพาะครูอัตราจ้างและพนักงานราชการในสังกัด สพฐ.ก่อน หลังจากนั้นจะเปิดสอบครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป.

ที่มา : ไทยรัฐ

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

สพฐ.มักน้อยตั้งเป้าเพิ่มโอเน็ตแค่3% มองภาพรวมที่ผ่านมายังทำได้ไม่ถึงครึ่ง แต่ควานหาจุดอ่อนแก้ไขปีต่อไป

Print Friendly

“กมล” ตั้งเป้าเพิ่มคะแนนโอเน็ตไว้แค่ 3% ชี้เป้าหมายต่ำ เพราะทุกปีภาพรวมเฉลี่ยทำได้ไม่ถึง 50% อยู่แล้ว แต่วางแผนอัพเกรดไว้ในปีต่อไป ทั้งสอบซ้อมผ่านพรีโอเน็ต วิเคราะห์ ควานหาจุดอ่อน ติวข้ามโรงเรียนระหว่างโรงเรียนได้คะแนนเยอะกับได้คะแนนอ่อน

นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาฯ กพฐ.) กล่าวว่า ขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เตรียมความพร้อมในการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นสามัญ หรือโอเน็ต ซึ่งที่ผ่านมา สพฐ.ได้ดำเนินการตามแผนการยกระดับคะแนนโอเน็ต ทั้งในเรื่องการวิเคราะห์ผลคะแนนโอเน็ต จับคู่ระหว่างโรงเรียนที่ได้คะแนนมากกับคะแนนน้อย เพื่อที่จะให้โรงเรียนที่ได้คะแนนมากแนะนำด้านการเรียนการสอนแก่โรงเรียนคะแนนน้อย นำไปสู่การพัฒนา และยังมีการทดสอบพรีโอเน็ตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ทำคะแนนได้ต่ำใน 3 วิชาหลัก คือ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่นักเรียนทำคะแนนได้ต่ำที่สุด ส่วนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน

เลขาฯ สพฐ.กล่าวต่อว่า สำหรับการสอบโอเน็ตของนักเรียนชั้น ป.6 จะจัดขึ้นวันที่ 31 มกราคม, ชั้น ม.3 จัดขึ้นวันที่ 31-1 มกราคม และ ม.6 จัดสอบวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งปีนี้ สพฐ.มีความตั้งใจที่จะยกระดับคะแนนการสอบโอเน็ตให้เพิ่มขึ้น เพราะจากการที่เรามุ่งมั่นในการดำเนินตามแผนดังกล่าว น่าจะส่งผลทำให้เกิดแรงกระเพื่อมของคะแนนในเชิงบวก และเด็กค่อนข้างที่จะมีความพร้อมสำหรับการสอบ และน่าจะสามารถทำคะแนนได้เพิ่มขึ้น ตามที่ สพฐ.ตั้งเป้าไว้ 3% เพราะปกติคะแนนโอเน็ตค่าเฉลี่ยเราไม่ถึงครึ่ง หรือ 50% อยู่แล้ว จึงตั้งเป้าไว้ให้เพิ่มขึ้นเพียงแค่ 3% เท่านั้น และคาดว่ามีโรงเรียนบางพื้นที่ทำได้ไม่ถึงเป้า 3% หรือบางพื้นที่อาจจะทำได้มากกว่า 3% ก็จะเป็นการดึงภาพรวมให้คะแนนโอเน็ตให้เพิ่มขึ้นได้

“เราตั้งเป้าไว้ทุกปี แต่ไม่เคยทำได้ถึง ปีนี้เราเลยตั้งไว้แค่ 3% เท่าเดิม แต่เพิ่มวิธีการที่จะปรับปรุงยกระดับหลายๆ ทาง ทั้งวิเคระห์ โค้ชชิ่งระหว่างโรงเรียนที่ได้ะคะแนนดีกับโรงเรียนได้คะแนนต่ำ และการทดสอบพรีโอเน็ต ยังทำให้เราพบถึงจุดอ่อนของแต่ละโรงเรียน ที่จะนำครูไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดอีกด้วย” นายกมลกล่าว

นายอนุสรณ์ ฟูเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาฯ กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ.จะนำผลวิเคราะห์คะแนนสอบพรีโอเน็ตครั้งนี้ไปปรับปรุงการเรียนการสอน โดยเฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ที่คะแนนออกมาค่อนข้างต่ำ โดยจะดำเนินการนำครูที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละวิชามาเทปบันทึกการสอน และถ่ายทอดผ่านช่องของโรงเรียนวังไกลกังวลไปยังโรงเรียนต่างๆ ที่ติดตั้งสัญญาณทั่วประเทศ และสามารถดูย้อนหลังได้ทั้งทางเว็บไซต์ของโรงเรียนไกลกังวล จากนี้จะเชื่อมไปยังเว็บไซต์ของ สพฐ.ด้วย เพื่อทำให้เด็กเข้าถึงสื่อการสอนได้อย่างสะดวก.

ที่มา : ไทยโพสต์

นายกรัฐมนตรีฝากคุรุสภาปรับแบบเรียน เปลี่ยนวิธีการสอนของครู

โรงเรียน - ครูระยอง

Print Friendly

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2558 ดร.อำนาจ สุนทรธรรม เลขาธิการคุรุสภา พร้อมด้วย ดร.สมพงษ์ ปานเกล้า รองเลขาธิการคุรุสภา คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้มีโอกาสเข้าคารวะ ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในโอกาส ที่ท่านนายกรัฐมนตรีบันทึกเทปอ่านสารวันครู พ.ศ. 2558 เนื่องในโอกาสการจัดงานวันครูครั้งที่ 59 ณ ทำเนียบรัฐบาล นับเป็นเกียรติ เป็นขวัญกำลังใจ แก่พี่น้องเพื่อนครู และบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ อีกทั้ง ยังเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติครู และวิชาชีพครูให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และเห็นความสำคัญ โดยมีกำหนดการออกอากาศในวันครู วันที่ 16 มกราคม 2558

ในโอกาสนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบาย ด้านการศึกษาแก่คุรุสภาผ่าน ดร.อำนาจ สุนทรธรรม เลขาธิการคุรุสภา เกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาของชาติ เพื่อการพัฒนาครูและพัฒนาเด็กไทยให้มีความรู้ ความสามารถ อย่างแท้จริง และได้ฝากประเด็นสำคัญไว้ ดังนี้

  • ประการแรก การจัดทำหนังสือเรียน ปัจจุบันมีแบบฝึกหัดรวมอยู่ในหนังสือเรียน ทำให้นักเรียนต้องเปลี่ยนหนังสือเรียนทุกปี รุ่นพี่ที่ใช้หนังสือเรียนมาก่อน ไม่สามารถส่งต่อให้น้องในรุ่นต่อไปได้ จึงขอฝากให้องค์การค้า ของ สกสค จัดพิมพ์หนังสือเรียนกับสมุดแบบฝึกหัด แยกออกจากกัน เป็น 2 เล่ม ไม่ควรพิมพ์อยู่ในเล่มเดียวกัน
  • ประการที่ 2 การปรับเปลี่ยนวิธีการสอนของครู โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการ จัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ หรือ แท็บเล็ต ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถจะจัดซื้อให้ได้ครบทุกคนทั้งครูและนักเรียน จึงเห็นว่าที่บ้านของครูและนักเรียนส่วนใหญ่ก็มีคอมพิวเตอร์ใช้อยู่ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษา ครูสามารถกำหนดหัวข้อหรือประเด็นการเรียนรู้ แล้วมอบให้นักเรียนค้นหาเป็นการบ้านแล้วนำมาพูดคุยกันในห้องเรียน โดยครูเป็นผู้ชี้แนะ แนะนำ ก็จะสามารถเพิ่มพูนองค์ความรู้ใหม่ให้เกิดขึ้นได้ ถือเป็นการบูรณาการการเรียนรู้ ซึ่งครูจะต้องได้รับการพัฒนาความรู้ ความสามารถ และทักษะในการจัดการเรียนการสอนแนวใหม่
  • ประการที่ 3 ขอฝากคุรุสภาให้รื้อฟื้นแบบฝึกหัดคิดเลขในใจมาใช้อีกครั้ง เพื่อฝึกให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันไม่มีการสอนคณิตคิดในใจ รวมทั้ง หาวิธีแก้ปัญหาเด็กรุ่นใหม่ที่มีปัญหาในเรื่องการฟัง การอ่าน และการเขียน ทำให้ไม่สามารถสรุปสาระสำคัญของเรื่องหรือบทความ และย่อความไม่เป็น

ที่มา : moe

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ชงเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาทุกโรง

ทุจริต ผิดวินัย ไม่เหมาะ

Print Friendly

ดร.บัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และเสนอกลับไปยังครม.ภายในวันที่ 12 ม.ค.นั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้จัดเก็บภาษีเงินได้โรงเรียนกวดวิชาทุกโรงเรียน โดยแบ่งประเภทการจัดเก็บเป็น 2 ประเภทคือ ประเภทบุคคลธรรมดา และประเภทนิติบุคคล ตามอัตราการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร โดยโรงเรียนกวดวิชาที่จดทะเบียนแบบประเภทบุคคลธรรมดา ที่มีรายได้สุทธิเกิน 150,000 บาท และประเภทนิติบุคคล ที่มีรายได้สุทธิเกิน 300,000 บาท จะต้องเสียภาษีเงินได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งจะมีการแก้ไขกฎกระทรวงให้สอดคล้องกับวิธีดำเนินการต่อไป

“นอกจากนี้ที่ประชุมได้เสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือโรงเรียนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ ด้วยการลดหย่อนภาษีแก่โรงเรียนกวดวิชาที่ประกอบกิจกรรมสาธารณประโยชน์ทางสังคมต่าง ๆ โดยให้สามารถขอลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ สช.จะสรุปรายละเอียดของมาตรการต่าง ๆ เพื่อนำเสนอ ครม.ต่อไป”ดร.บัณฑิตย์กล่าว

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

เปิดกรุสมุด-ดินสอ“ป่อเต็กตึ๊ง” รำลึกถึง “วันเด็ก” ในวันวาน

Print Friendly

มื่อถึงวันเด็กในแต่ละปีหลายคนคงคิดถึงบรรยากาศตอนคุณครูให้ยืนเข้าแถวรับขนมนมเนยและของขวัญสีสันสดใสเมื่อครั้งวัยเยาว์ และหนึ่งในของขวัญที่ทำให้เด็กหญิงเด็กชายหัวใจพองโตก็คือชุดเครื่องเขียน ซึ่งประกอบด้วย สมุด ดินสอ และไม้บรรทัด ที่ได้รับแจกจาก “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง”โดยเฉพาะสมุดที่บางปีก็มีสูตรคูณ บางปีก็มีมาตราชั่ง-ตวง-วัด หรือคำขวัญวันเด็ก อยู่ด้านหลังปกให้เด็กๆได้ท่องจำ นับเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ที่คิดถึงที่ไรก็อดยิ้มไม่สักที

แต่หลายคนคงนึกไม่ถึงว่าสมุดดินสอของป่อเต็กตึ๊งนั้นได้มีการแจกให้แก่เด็กไทยมาตั้งแต่ปี 2502 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการกำหนดให้ประเทศไทยมีวันเด็กแห่งชาติ จนมาถึงวันนี้รวมระยะเวลาถึง 56 ปีแล้ว ‘ASTV ผู้จัดการ’ จึงขอพาท่านไปย้อนวันวาน เปิดกรุสมุด-ดินสอ “ป่อเต็กตึ๊งว่านับแต่วันนั้นถึงวันนี้มีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างหากย้อนไปดูสมุดที่ป่อเต็กตึ๊งแจกให้แก่เด็กๆในช่วงแรกๆจะพบว่าเนื้อกระดาษจะมีสีขาวอมเหลือง และเนื้อบางกว่าสมุดที่แจกในปัจจุบัน ซึ่งมีสีขาวบริสุทธิ์และมีการกำหนดมาตรฐานความหนาของเนื้อกระดาษว่าต้องไม่ต่ำกว่า 70 แกรม ส่วนปกสมุดก็มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงรูปแบบมาอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือปกด้านหน้าจะมี “ตัวเสียง” (善) อักษรจีนซึ่งแปลว่า..ความดี หรือ การทำบุญ อันเป็นสัญลักษณ์ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ปรากฏอยู่บนปกสมุดทุกเล่ม

ภาพจาก : ผู้จัดการ

ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี บางปีก็เป็นรูปโบว์ บางปีก็เป็นลายไทย แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือหากปีใดเป็นปีที่มีวโรกาสสำคัญขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วโรกาสที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ป่อเต็กตึ๊งก็จะจัดพิมพ์ตราสัญลักษณ์เนื่องในวโรกาสนั้นๆลงบนปกสมุด นอกจากนั้นล่าสุดตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ป่อเต็กตึ๊งได้ปรับรูปแบบหน้าปกให้ดูน่ารักสดใสเหมาะกับเด็กๆมากยิ่งขึ้น เช่น มีลายการ์ตูน ใช้สีเขียว ชมพู ฟ้า ส่วนปกหลังของสมุดนั้นป่อเต็กตึ๊งจะใส่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ซึ่งในแต่ละปีก็จะแตกต่างกันไป โดยบางปีก็เป็นสูตรคูณ บางปีเป็นมาตราชั่ง-ตวง-วัด บางปีเป็นแผนที่ประเทศไทย หรือคำขวัญวันเด็กในแต่ละปี

ภาพจาก : ผู้จัดการ

สำหรับดินสอนั้น ในอดีตจะเป็นดินสอไม้แบบเหลี่ยม ต่อมาเปลี่ยนเป็นดินสอไม้แบบกลมเพื่อให้จับถนัดมือ และล่าสุดเปลี่ยนมาเป็นดินสอเปลี่ยนไส้ได้เพื่อให้เด็กๆใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ส่วนไม้บรรทัดก็มีการพัฒนาขึ้นเช่นกัน จากเดิมที่เป็นไม้บรรทัดพลาสติกสีขุ่น ความยาว 12 นิ้ว ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นพลาสติกใส ความยาว 12 นิ้ว เพื่อที่เวลาเด็กๆตีเส้นจะได้ไม่เผลอขีดทับตัวหนังสือ และล่าสุดได้ปรับความยาวของไม้บรรทัดให้สั้นลงเพื่อให้เด็กๆพกพาสะดวก อีกทั้งเนื้อพลาสติกยังมีความเหนียวและยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถโค้งงอได้ เพื่อไม่ให้ไม้บรรทัดแตกหักง่าย

ดร.สมาน โอภาสวงศ์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง บอกเล่าถึงที่มาและรายละเอียดของโครงการแจกอุปกรณ์การศึกษาเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ว่า “ เนื่องจากป่อเต็กตึ๊งเล็งเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กๆซึ่งเป็นอนาคตของชาติ และในแต่ละปีเด็กๆก็ต้องใช้สมุด-ดินสอหลายชุด เราจึงอยากแจกอุปกรณ์เครื่องเขียนให้เป็นของขวัญแก่เด็กๆในวันเด็กแห่งชาติ ซึ่งโครงการนี้เราได้ทำต่อเนื่องมากว่า 50 ปีแล้ว โดยเราจะแจกสมุด-ดินสอ-ไม้บรรทัด ให้แก่เด็กๆรวมแล้วปีละประมาณ 800,000 ชุด ในปี 2558 นี้ก็เช่นกัน แต่เราเพิ่มจำนวนชิ้น จากเดิม 1 ชุดจะประกอบด้วยสมุด-ดินสอ-ไม้บรรทัด อย่างละ 1 ชิ้น ก็เพิ่มเป็นอย่างละ 2 ชิ้นต่อชุด รวมงบประมาณทั้งสิ้น 24 ล้านบาท โดยเราจะแจกให้แก่เด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ถึงชั้นประถมปีที่ 6 ในโรงเรียนที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และโรงเรียนจีนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้นอกจากโครงการดังกล่าวแล้วเรายังมีโครงการสนับสนุนการศึกษาในลักษณะอื่นๆอีกหลายโครงการ อาทิ โครงการแจกทุนการศึกษา โครงการแจกชุดนักเรียน เป็นต้น โดยในแต่ละปีมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งใช้งบในโครงการเพื่อการศึกษาถึง 30-40 ล้านบาท เพราะเราเชื่อมั่นว่าการให้เพื่อการศึกษานั้นเป็นสิ่งที่มีค่าทั้งต่อเยาวชนและประเทศชาติ ”

อุปกรณ์เครื่องเขียนที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งแจกให้แก่เด็กๆในวันเด็กแห่งชาติของทุกปีนั้นอาจจะไม่ได้มีมูลค่ามากมาย แต่สำหรับเด็กๆแล้วสมุด-ดินสอเหล่านี้นับเป็นของขวัญที่มีคุณค่าทางจิตใจ ทำให้พวกเขายิ้มได้และหัวใจพองโต ในขณะที่ผู้ใหญ่ใจดีที่ร่วมบริจาคกับป่อเต็กตึ๊งก็รู้สึกอิ่มใจที่ได้มีส่วนรดน้ำใส่ปุ๋ยให้เม็ดพันธุ์ของชาติแข็งแรงเติบโตต่อไปในอนาคต

ที่มา : ผู้จัดการ

สกสค.มอบของขวัญคืนความสุขคุณครู

โรงเรียน - ครูระยอง

Print Friendly

ทางการศึกษา(สกสค.) เปิดเผยว่า ในปี 2558 สกสค.มีโครงการคืนความสุขให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งประเทศ 3 เรื่อง เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ คือ 1. การจัดตั้งกองทุนพระพฤหัสบดี จำนวน 77 กองทุนในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นของกองทุนประจำจังหวัดที่จะทำหน้าที่ช่วยเหลือครูที่ประสบภัยทุกประเภท ทั้งอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย ภัยแผ่นดินไหว รวมถึงภัยจากเหตุการณ์ไม่สงบต่าง ๆ เป็นต้น โดยกองทุนนี้จะเป็นกองทุนที่ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นก่อน เนื่องจากเป็นกองทุนที่อยู่ใกล้สมาชิกมากที่สุด

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องที่ 2. การพักการส่งเงินสงเคราะห์รายศพให้แก่สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) และ การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนสมาชิกคุรุสภาในกรณีคู่สมรสถึงแก่กรรม (ช.พ.ส.) ที่มีอายุการเป็นสมาชิก 60 ปีขึ้นไป(ไม่ใช่อายุตัว) แต่ต้องเป็นสมาชิกน้ำดีที่ส่งเงินสงเคราะห์ มาอย่างต่อเนื่องไม่เคยขาด โดย สกสค.จะให้งดจ่ายเงินสงเคราะห์รายศพแต่จะใช้เงินจากกองทุน ช.พ.ค.และ ช.พ.ส.จ่ายแทนไปก่อนจนกว่าสมาชิกคนนั้นถึงแก่กรรม จึงจะหักเงินส่วนที่จ่ายจากเงินสงเคราะห์ที่จะได้รับเพื่อนำกลับไปคืนกองทุน สำหรับครูน้ำดีที่ยังไม่เข้าเกณฑ์การเป็นสมาชิก 60 ปีนั้น สกสค.กำลังพิจารณาว่าจะ คืนความสุขให้ในรูปแบบใด

“ส่วนเรื่องที่ 3 ที่ สกสค.จะมอบให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา คือ การเพิ่มวงเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ทำงานด้วยความยากลำบาก อาทิ ครูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครูที่ปฏิบัติงานในถิ่นทุรกันดาร เช่น ครูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เคยรับเงินสงเคราะห์ 5 แสนบาท ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านบาท และครูที่อยู่ตามชายขอบในถิ่นทุรกันดารเดิมเคยช่วยรายละ 2.5 แสนบาท ก็จะเพิ่มเป็น 5 แสนบาท เป็นต้น” เลขาธิการ สกสค.กล่าวและว่า นี่คือสิ่งที่จะเป็นของขวัญในการคืนความสุขให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ สกสค.จะมอบให้ในปี 2558.

ที่มา : เดลินิวส์

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ปรับเงินเดือนข้าราชการ (2)

Print Friendly

มาพิจารณารายละเอียดกันต่อถึงการปรับเงินเดือนข้าราชการตามมติ ครม. เมื่อวันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2557 ดังที่ได้เสนอสาระสำคัญประการแรกไปแล้วเมื่อวานนี้

ประการที่สอง การปรับเงินเดือนข้าราชการ ให้ข้าราชการได้รับการปรับเงินเดือนเพิ่ม 1 ขั้น สำหรับระบบเงินเดือนแบบขั้น หรือร้อยละ 4 ของอัตราเงินเดือน สำหรับระบบเงินเดือนแบบช่วง ณ วันที่บัญชีเงินเดือนข้าราชการมีผลใช้บังคับในกรณีที่การปรับอัตราเงินเดือนดังกล่าวทำให้อัตราใดมีเศษไม่ถึงสิบบาทให้ปัดเป็นสิบบาท โดยปรับเงินเดือนให้ข้าราชการดังต่อไปนี้

  1. ข้าราชการพลเรือนสามัญ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติการและระดับชำนาญการ และผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไปซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติงานและระดับชำนาญงาน
  2. ข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับเงินเดือนตั้งแต่ระดับ น.3 ลงมา
  3. ข้าราชการตำรวจ ซึ่งรับเงินเดือนตั้งแต่ระดับ ส.3 ลงมา
  4. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งรับเงินเดือนตั้งแต่อันดับ คศ.2 ลงมา
  5. ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ผู้ดำรงตำแหน่ง วิชาการซึ่งรับเงินเดือนตำแหน่งอาจารย์ และผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะหรือเชี่ยวชาญเฉพาะซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติการและระดับชำนาญการ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไปซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติงานและระดับชำนาญงาน
  6. ข้าราชการรัฐสภาสามัญ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติการและระดับชำนาญการ และผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไปซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติงานและระดับชำนาญงาน

ประการที่สาม การได้รับเงินเดือนกรณีข้าราชการได้รับ เงินเดือนถึงขั้นสูง ให้ข้าราชการผู้ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูง (เงินเดือนตัน) และได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษของข้าราชการและลูกจ้างประจำผู้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงขั้นสูงหรือใกล้ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม นำค่าตอบแทนพิเศษตามผลการประเมินในรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2557 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2557 มารวมเป็นเงินเดือนตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 ในกรณีที่อัตราค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวรวมกับเงินเดือนแล้วมีเศษไม่ถึงสิบบาทให้ปัดเป็นสิบบาท

ทั้งนี้ การปรับเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ จะครอบคลุมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทต่างๆ รวมประมาณ 1.98 ล้านคน ประกอบด้วย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการรัฐสภาสามัญ พนักงานราชการ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในองค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

โดยสำนักงบประมาณได้จัดเตรียมงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแล้ว หากใครหน่วยไหนยังมีข้อสงสัยให้ไปถามที่สำนักงาน ก.พ.และสำนักงบประมาณโดยตรง.

โดย : ซี.12
ที่มา : ไทยรัฐ

Our partners from Mexico:
Productos de salud
Carlos Torre