สพฐ.เฟ้นผู้บริหารสถานศึกษา-รอง – ครูระยอง


สพฐ.เฟ้นผู้บริหารสถานศึกษา-รอง

กระทรวงศึกษาธิการ

Print Friendly

นางรัตนา ศรีเหรัญ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ออกประกาศการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา และผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัด สพฐ.แล้ว และได้แจ้งให้เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศทราบแล้วเพื่อดำเนินการรับสมัคร คัดเลือก โดยได้กำหนดปฏิทิน ดังนี้ รับสมัครคัดเลือก 26 ม.ค.-1 ก.พ.นี้ ไม่เว้นวันหยุดราชการ แยกเป็นกลุ่มประสบการณ์ และกลุ่มทั่วไป ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกภายในวันที่ 6 ก.พ. การประเมินผลการปฏิบัติงานและผลงานระหว่างวันที่ 9-13 ก.พ. สอบข้อเขียนความรู้ทั่วไปและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน ความสามารถในการบริหารงานในหน้าที่ วันที่ 14 ก.พ. สอบสัมภาษณ์ วันที่ 15 ก.พ. และประกาศผลการคัดเลือกภายในวันที่ 28 ก.พ.นี้

รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า ผู้ที่สอบผ่านการคัดเลือกจะต้องได้คะแนนร้อยละ 60 และจะได้รับการขึ้นบัญชีไว้ 2 ปี โดยมีตำแหน่งว่างในขณะนี้จำนวน 1,600 ตำแหน่ง ส่วนข้อสอบที่ใช้สอบคัดเลือกนั้น สพฐ.จะให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นผู้ดำเนินการออกข้อสอบ เพื่อใช้สอบพร้อมกันทุกเขตฯ ส่วนการส่งข้อสอบและการตรวจข้อสอบจะทำร่วมกันระหว่าง สพฐ.กับสถาบันอุดมศึกษา ทั้งนี้หลังการคัดเลือกรองผู้อำนวยการสถานศึกษาและผู้อำนวยการสถานศึกษาแล้ว สพฐ.จะคัดเลือกครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษต่อไป โดยจะเปิดสอบคัดเลือกเฉพาะครูอัตราจ้างและพนักงานราชการในสังกัด สพฐ.ก่อน หลังจากนั้นจะเปิดสอบครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป.

ที่มา : ไทยรัฐ

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

สพฐ.มักน้อยตั้งเป้าเพิ่มโอเน็ตแค่3% มองภาพรวมที่ผ่านมายังทำได้ไม่ถึงครึ่ง แต่ควานหาจุดอ่อนแก้ไขปีต่อไป

Print Friendly

“กมล” ตั้งเป้าเพิ่มคะแนนโอเน็ตไว้แค่ 3% ชี้เป้าหมายต่ำ เพราะทุกปีภาพรวมเฉลี่ยทำได้ไม่ถึง 50% อยู่แล้ว แต่วางแผนอัพเกรดไว้ในปีต่อไป ทั้งสอบซ้อมผ่านพรีโอเน็ต วิเคราะห์ ควานหาจุดอ่อน ติวข้ามโรงเรียนระหว่างโรงเรียนได้คะแนนเยอะกับได้คะแนนอ่อน

นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาฯ กพฐ.) กล่าวว่า ขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เตรียมความพร้อมในการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นสามัญ หรือโอเน็ต ซึ่งที่ผ่านมา สพฐ.ได้ดำเนินการตามแผนการยกระดับคะแนนโอเน็ต ทั้งในเรื่องการวิเคราะห์ผลคะแนนโอเน็ต จับคู่ระหว่างโรงเรียนที่ได้คะแนนมากกับคะแนนน้อย เพื่อที่จะให้โรงเรียนที่ได้คะแนนมากแนะนำด้านการเรียนการสอนแก่โรงเรียนคะแนนน้อย นำไปสู่การพัฒนา และยังมีการทดสอบพรีโอเน็ตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ทำคะแนนได้ต่ำใน 3 วิชาหลัก คือ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่นักเรียนทำคะแนนได้ต่ำที่สุด ส่วนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน

เลขาฯ สพฐ.กล่าวต่อว่า สำหรับการสอบโอเน็ตของนักเรียนชั้น ป.6 จะจัดขึ้นวันที่ 31 มกราคม, ชั้น ม.3 จัดขึ้นวันที่ 31-1 มกราคม และ ม.6 จัดสอบวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งปีนี้ สพฐ.มีความตั้งใจที่จะยกระดับคะแนนการสอบโอเน็ตให้เพิ่มขึ้น เพราะจากการที่เรามุ่งมั่นในการดำเนินตามแผนดังกล่าว น่าจะส่งผลทำให้เกิดแรงกระเพื่อมของคะแนนในเชิงบวก และเด็กค่อนข้างที่จะมีความพร้อมสำหรับการสอบ และน่าจะสามารถทำคะแนนได้เพิ่มขึ้น ตามที่ สพฐ.ตั้งเป้าไว้ 3% เพราะปกติคะแนนโอเน็ตค่าเฉลี่ยเราไม่ถึงครึ่ง หรือ 50% อยู่แล้ว จึงตั้งเป้าไว้ให้เพิ่มขึ้นเพียงแค่ 3% เท่านั้น และคาดว่ามีโรงเรียนบางพื้นที่ทำได้ไม่ถึงเป้า 3% หรือบางพื้นที่อาจจะทำได้มากกว่า 3% ก็จะเป็นการดึงภาพรวมให้คะแนนโอเน็ตให้เพิ่มขึ้นได้

“เราตั้งเป้าไว้ทุกปี แต่ไม่เคยทำได้ถึง ปีนี้เราเลยตั้งไว้แค่ 3% เท่าเดิม แต่เพิ่มวิธีการที่จะปรับปรุงยกระดับหลายๆ ทาง ทั้งวิเคระห์ โค้ชชิ่งระหว่างโรงเรียนที่ได้ะคะแนนดีกับโรงเรียนได้คะแนนต่ำ และการทดสอบพรีโอเน็ต ยังทำให้เราพบถึงจุดอ่อนของแต่ละโรงเรียน ที่จะนำครูไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดอีกด้วย” นายกมลกล่าว

นายอนุสรณ์ ฟูเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาฯ กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ.จะนำผลวิเคราะห์คะแนนสอบพรีโอเน็ตครั้งนี้ไปปรับปรุงการเรียนการสอน โดยเฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ที่คะแนนออกมาค่อนข้างต่ำ โดยจะดำเนินการนำครูที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละวิชามาเทปบันทึกการสอน และถ่ายทอดผ่านช่องของโรงเรียนวังไกลกังวลไปยังโรงเรียนต่างๆ ที่ติดตั้งสัญญาณทั่วประเทศ และสามารถดูย้อนหลังได้ทั้งทางเว็บไซต์ของโรงเรียนไกลกังวล จากนี้จะเชื่อมไปยังเว็บไซต์ของ สพฐ.ด้วย เพื่อทำให้เด็กเข้าถึงสื่อการสอนได้อย่างสะดวก.

ที่มา : ไทยโพสต์

นายกรัฐมนตรีฝากคุรุสภาปรับแบบเรียน เปลี่ยนวิธีการสอนของครู

โรงเรียน - ครูระยอง

Print Friendly

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2558 ดร.อำนาจ สุนทรธรรม เลขาธิการคุรุสภา พร้อมด้วย ดร.สมพงษ์ ปานเกล้า รองเลขาธิการคุรุสภา คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้มีโอกาสเข้าคารวะ ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในโอกาส ที่ท่านนายกรัฐมนตรีบันทึกเทปอ่านสารวันครู พ.ศ. 2558 เนื่องในโอกาสการจัดงานวันครูครั้งที่ 59 ณ ทำเนียบรัฐบาล นับเป็นเกียรติ เป็นขวัญกำลังใจ แก่พี่น้องเพื่อนครู และบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ อีกทั้ง ยังเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติครู และวิชาชีพครูให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และเห็นความสำคัญ โดยมีกำหนดการออกอากาศในวันครู วันที่ 16 มกราคม 2558

ในโอกาสนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบาย ด้านการศึกษาแก่คุรุสภาผ่าน ดร.อำนาจ สุนทรธรรม เลขาธิการคุรุสภา เกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาของชาติ เพื่อการพัฒนาครูและพัฒนาเด็กไทยให้มีความรู้ ความสามารถ อย่างแท้จริง และได้ฝากประเด็นสำคัญไว้ ดังนี้

  • ประการแรก การจัดทำหนังสือเรียน ปัจจุบันมีแบบฝึกหัดรวมอยู่ในหนังสือเรียน ทำให้นักเรียนต้องเปลี่ยนหนังสือเรียนทุกปี รุ่นพี่ที่ใช้หนังสือเรียนมาก่อน ไม่สามารถส่งต่อให้น้องในรุ่นต่อไปได้ จึงขอฝากให้องค์การค้า ของ สกสค จัดพิมพ์หนังสือเรียนกับสมุดแบบฝึกหัด แยกออกจากกัน เป็น 2 เล่ม ไม่ควรพิมพ์อยู่ในเล่มเดียวกัน
  • ประการที่ 2 การปรับเปลี่ยนวิธีการสอนของครู โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการ จัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ หรือ แท็บเล็ต ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถจะจัดซื้อให้ได้ครบทุกคนทั้งครูและนักเรียน จึงเห็นว่าที่บ้านของครูและนักเรียนส่วนใหญ่ก็มีคอมพิวเตอร์ใช้อยู่ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษา ครูสามารถกำหนดหัวข้อหรือประเด็นการเรียนรู้ แล้วมอบให้นักเรียนค้นหาเป็นการบ้านแล้วนำมาพูดคุยกันในห้องเรียน โดยครูเป็นผู้ชี้แนะ แนะนำ ก็จะสามารถเพิ่มพูนองค์ความรู้ใหม่ให้เกิดขึ้นได้ ถือเป็นการบูรณาการการเรียนรู้ ซึ่งครูจะต้องได้รับการพัฒนาความรู้ ความสามารถ และทักษะในการจัดการเรียนการสอนแนวใหม่
  • ประการที่ 3 ขอฝากคุรุสภาให้รื้อฟื้นแบบฝึกหัดคิดเลขในใจมาใช้อีกครั้ง เพื่อฝึกให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันไม่มีการสอนคณิตคิดในใจ รวมทั้ง หาวิธีแก้ปัญหาเด็กรุ่นใหม่ที่มีปัญหาในเรื่องการฟัง การอ่าน และการเขียน ทำให้ไม่สามารถสรุปสาระสำคัญของเรื่องหรือบทความ และย่อความไม่เป็น

ที่มา : moe

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ชงเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาทุกโรง

ทุจริต ผิดวินัย ไม่เหมาะ

Print Friendly

ดร.บัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และเสนอกลับไปยังครม.ภายในวันที่ 12 ม.ค.นั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้จัดเก็บภาษีเงินได้โรงเรียนกวดวิชาทุกโรงเรียน โดยแบ่งประเภทการจัดเก็บเป็น 2 ประเภทคือ ประเภทบุคคลธรรมดา และประเภทนิติบุคคล ตามอัตราการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร โดยโรงเรียนกวดวิชาที่จดทะเบียนแบบประเภทบุคคลธรรมดา ที่มีรายได้สุทธิเกิน 150,000 บาท และประเภทนิติบุคคล ที่มีรายได้สุทธิเกิน 300,000 บาท จะต้องเสียภาษีเงินได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งจะมีการแก้ไขกฎกระทรวงให้สอดคล้องกับวิธีดำเนินการต่อไป

“นอกจากนี้ที่ประชุมได้เสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือโรงเรียนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ ด้วยการลดหย่อนภาษีแก่โรงเรียนกวดวิชาที่ประกอบกิจกรรมสาธารณประโยชน์ทางสังคมต่าง ๆ โดยให้สามารถขอลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ สช.จะสรุปรายละเอียดของมาตรการต่าง ๆ เพื่อนำเสนอ ครม.ต่อไป”ดร.บัณฑิตย์กล่าว

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

เปิดกรุสมุด-ดินสอ“ป่อเต็กตึ๊ง” รำลึกถึง “วันเด็ก” ในวันวาน

Print Friendly

มื่อถึงวันเด็กในแต่ละปีหลายคนคงคิดถึงบรรยากาศตอนคุณครูให้ยืนเข้าแถวรับขนมนมเนยและของขวัญสีสันสดใสเมื่อครั้งวัยเยาว์ และหนึ่งในของขวัญที่ทำให้เด็กหญิงเด็กชายหัวใจพองโตก็คือชุดเครื่องเขียน ซึ่งประกอบด้วย สมุด ดินสอ และไม้บรรทัด ที่ได้รับแจกจาก “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง”โดยเฉพาะสมุดที่บางปีก็มีสูตรคูณ บางปีก็มีมาตราชั่ง-ตวง-วัด หรือคำขวัญวันเด็ก อยู่ด้านหลังปกให้เด็กๆได้ท่องจำ นับเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ที่คิดถึงที่ไรก็อดยิ้มไม่สักที

แต่หลายคนคงนึกไม่ถึงว่าสมุดดินสอของป่อเต็กตึ๊งนั้นได้มีการแจกให้แก่เด็กไทยมาตั้งแต่ปี 2502 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการกำหนดให้ประเทศไทยมีวันเด็กแห่งชาติ จนมาถึงวันนี้รวมระยะเวลาถึง 56 ปีแล้ว ‘ASTV ผู้จัดการ’ จึงขอพาท่านไปย้อนวันวาน เปิดกรุสมุด-ดินสอ “ป่อเต็กตึ๊งว่านับแต่วันนั้นถึงวันนี้มีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างหากย้อนไปดูสมุดที่ป่อเต็กตึ๊งแจกให้แก่เด็กๆในช่วงแรกๆจะพบว่าเนื้อกระดาษจะมีสีขาวอมเหลือง และเนื้อบางกว่าสมุดที่แจกในปัจจุบัน ซึ่งมีสีขาวบริสุทธิ์และมีการกำหนดมาตรฐานความหนาของเนื้อกระดาษว่าต้องไม่ต่ำกว่า 70 แกรม ส่วนปกสมุดก็มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงรูปแบบมาอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือปกด้านหน้าจะมี “ตัวเสียง” (善) อักษรจีนซึ่งแปลว่า..ความดี หรือ การทำบุญ อันเป็นสัญลักษณ์ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ปรากฏอยู่บนปกสมุดทุกเล่ม

ภาพจาก : ผู้จัดการ

ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี บางปีก็เป็นรูปโบว์ บางปีก็เป็นลายไทย แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือหากปีใดเป็นปีที่มีวโรกาสสำคัญขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วโรกาสที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ป่อเต็กตึ๊งก็จะจัดพิมพ์ตราสัญลักษณ์เนื่องในวโรกาสนั้นๆลงบนปกสมุด นอกจากนั้นล่าสุดตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ป่อเต็กตึ๊งได้ปรับรูปแบบหน้าปกให้ดูน่ารักสดใสเหมาะกับเด็กๆมากยิ่งขึ้น เช่น มีลายการ์ตูน ใช้สีเขียว ชมพู ฟ้า ส่วนปกหลังของสมุดนั้นป่อเต็กตึ๊งจะใส่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ซึ่งในแต่ละปีก็จะแตกต่างกันไป โดยบางปีก็เป็นสูตรคูณ บางปีเป็นมาตราชั่ง-ตวง-วัด บางปีเป็นแผนที่ประเทศไทย หรือคำขวัญวันเด็กในแต่ละปี

ภาพจาก : ผู้จัดการ

สำหรับดินสอนั้น ในอดีตจะเป็นดินสอไม้แบบเหลี่ยม ต่อมาเปลี่ยนเป็นดินสอไม้แบบกลมเพื่อให้จับถนัดมือ และล่าสุดเปลี่ยนมาเป็นดินสอเปลี่ยนไส้ได้เพื่อให้เด็กๆใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ส่วนไม้บรรทัดก็มีการพัฒนาขึ้นเช่นกัน จากเดิมที่เป็นไม้บรรทัดพลาสติกสีขุ่น ความยาว 12 นิ้ว ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นพลาสติกใส ความยาว 12 นิ้ว เพื่อที่เวลาเด็กๆตีเส้นจะได้ไม่เผลอขีดทับตัวหนังสือ และล่าสุดได้ปรับความยาวของไม้บรรทัดให้สั้นลงเพื่อให้เด็กๆพกพาสะดวก อีกทั้งเนื้อพลาสติกยังมีความเหนียวและยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถโค้งงอได้ เพื่อไม่ให้ไม้บรรทัดแตกหักง่าย

ดร.สมาน โอภาสวงศ์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง บอกเล่าถึงที่มาและรายละเอียดของโครงการแจกอุปกรณ์การศึกษาเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ว่า “ เนื่องจากป่อเต็กตึ๊งเล็งเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กๆซึ่งเป็นอนาคตของชาติ และในแต่ละปีเด็กๆก็ต้องใช้สมุด-ดินสอหลายชุด เราจึงอยากแจกอุปกรณ์เครื่องเขียนให้เป็นของขวัญแก่เด็กๆในวันเด็กแห่งชาติ ซึ่งโครงการนี้เราได้ทำต่อเนื่องมากว่า 50 ปีแล้ว โดยเราจะแจกสมุด-ดินสอ-ไม้บรรทัด ให้แก่เด็กๆรวมแล้วปีละประมาณ 800,000 ชุด ในปี 2558 นี้ก็เช่นกัน แต่เราเพิ่มจำนวนชิ้น จากเดิม 1 ชุดจะประกอบด้วยสมุด-ดินสอ-ไม้บรรทัด อย่างละ 1 ชิ้น ก็เพิ่มเป็นอย่างละ 2 ชิ้นต่อชุด รวมงบประมาณทั้งสิ้น 24 ล้านบาท โดยเราจะแจกให้แก่เด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ถึงชั้นประถมปีที่ 6 ในโรงเรียนที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และโรงเรียนจีนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้นอกจากโครงการดังกล่าวแล้วเรายังมีโครงการสนับสนุนการศึกษาในลักษณะอื่นๆอีกหลายโครงการ อาทิ โครงการแจกทุนการศึกษา โครงการแจกชุดนักเรียน เป็นต้น โดยในแต่ละปีมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งใช้งบในโครงการเพื่อการศึกษาถึง 30-40 ล้านบาท เพราะเราเชื่อมั่นว่าการให้เพื่อการศึกษานั้นเป็นสิ่งที่มีค่าทั้งต่อเยาวชนและประเทศชาติ ”

อุปกรณ์เครื่องเขียนที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งแจกให้แก่เด็กๆในวันเด็กแห่งชาติของทุกปีนั้นอาจจะไม่ได้มีมูลค่ามากมาย แต่สำหรับเด็กๆแล้วสมุด-ดินสอเหล่านี้นับเป็นของขวัญที่มีคุณค่าทางจิตใจ ทำให้พวกเขายิ้มได้และหัวใจพองโต ในขณะที่ผู้ใหญ่ใจดีที่ร่วมบริจาคกับป่อเต็กตึ๊งก็รู้สึกอิ่มใจที่ได้มีส่วนรดน้ำใส่ปุ๋ยให้เม็ดพันธุ์ของชาติแข็งแรงเติบโตต่อไปในอนาคต

ที่มา : ผู้จัดการ

สกสค.มอบของขวัญคืนความสุขคุณครู

โรงเรียน - ครูระยอง

Print Friendly

ทางการศึกษา(สกสค.) เปิดเผยว่า ในปี 2558 สกสค.มีโครงการคืนความสุขให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งประเทศ 3 เรื่อง เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ คือ 1. การจัดตั้งกองทุนพระพฤหัสบดี จำนวน 77 กองทุนในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นของกองทุนประจำจังหวัดที่จะทำหน้าที่ช่วยเหลือครูที่ประสบภัยทุกประเภท ทั้งอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย ภัยแผ่นดินไหว รวมถึงภัยจากเหตุการณ์ไม่สงบต่าง ๆ เป็นต้น โดยกองทุนนี้จะเป็นกองทุนที่ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นก่อน เนื่องจากเป็นกองทุนที่อยู่ใกล้สมาชิกมากที่สุด

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องที่ 2. การพักการส่งเงินสงเคราะห์รายศพให้แก่สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) และ การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนสมาชิกคุรุสภาในกรณีคู่สมรสถึงแก่กรรม (ช.พ.ส.) ที่มีอายุการเป็นสมาชิก 60 ปีขึ้นไป(ไม่ใช่อายุตัว) แต่ต้องเป็นสมาชิกน้ำดีที่ส่งเงินสงเคราะห์ มาอย่างต่อเนื่องไม่เคยขาด โดย สกสค.จะให้งดจ่ายเงินสงเคราะห์รายศพแต่จะใช้เงินจากกองทุน ช.พ.ค.และ ช.พ.ส.จ่ายแทนไปก่อนจนกว่าสมาชิกคนนั้นถึงแก่กรรม จึงจะหักเงินส่วนที่จ่ายจากเงินสงเคราะห์ที่จะได้รับเพื่อนำกลับไปคืนกองทุน สำหรับครูน้ำดีที่ยังไม่เข้าเกณฑ์การเป็นสมาชิก 60 ปีนั้น สกสค.กำลังพิจารณาว่าจะ คืนความสุขให้ในรูปแบบใด

“ส่วนเรื่องที่ 3 ที่ สกสค.จะมอบให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา คือ การเพิ่มวงเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ทำงานด้วยความยากลำบาก อาทิ ครูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครูที่ปฏิบัติงานในถิ่นทุรกันดาร เช่น ครูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เคยรับเงินสงเคราะห์ 5 แสนบาท ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านบาท และครูที่อยู่ตามชายขอบในถิ่นทุรกันดารเดิมเคยช่วยรายละ 2.5 แสนบาท ก็จะเพิ่มเป็น 5 แสนบาท เป็นต้น” เลขาธิการ สกสค.กล่าวและว่า นี่คือสิ่งที่จะเป็นของขวัญในการคืนความสุขให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ สกสค.จะมอบให้ในปี 2558.

ที่มา : เดลินิวส์

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ปรับเงินเดือนข้าราชการ (2)

Print Friendly

มาพิจารณารายละเอียดกันต่อถึงการปรับเงินเดือนข้าราชการตามมติ ครม. เมื่อวันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2557 ดังที่ได้เสนอสาระสำคัญประการแรกไปแล้วเมื่อวานนี้

ประการที่สอง การปรับเงินเดือนข้าราชการ ให้ข้าราชการได้รับการปรับเงินเดือนเพิ่ม 1 ขั้น สำหรับระบบเงินเดือนแบบขั้น หรือร้อยละ 4 ของอัตราเงินเดือน สำหรับระบบเงินเดือนแบบช่วง ณ วันที่บัญชีเงินเดือนข้าราชการมีผลใช้บังคับในกรณีที่การปรับอัตราเงินเดือนดังกล่าวทำให้อัตราใดมีเศษไม่ถึงสิบบาทให้ปัดเป็นสิบบาท โดยปรับเงินเดือนให้ข้าราชการดังต่อไปนี้

  1. ข้าราชการพลเรือนสามัญ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติการและระดับชำนาญการ และผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไปซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติงานและระดับชำนาญงาน
  2. ข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับเงินเดือนตั้งแต่ระดับ น.3 ลงมา
  3. ข้าราชการตำรวจ ซึ่งรับเงินเดือนตั้งแต่ระดับ ส.3 ลงมา
  4. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งรับเงินเดือนตั้งแต่อันดับ คศ.2 ลงมา
  5. ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ผู้ดำรงตำแหน่ง วิชาการซึ่งรับเงินเดือนตำแหน่งอาจารย์ และผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะหรือเชี่ยวชาญเฉพาะซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติการและระดับชำนาญการ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไปซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติงานและระดับชำนาญงาน
  6. ข้าราชการรัฐสภาสามัญ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติการและระดับชำนาญการ และผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไปซึ่งรับเงินเดือนระดับปฏิบัติงานและระดับชำนาญงาน

ประการที่สาม การได้รับเงินเดือนกรณีข้าราชการได้รับ เงินเดือนถึงขั้นสูง ให้ข้าราชการผู้ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูง (เงินเดือนตัน) และได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษของข้าราชการและลูกจ้างประจำผู้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงขั้นสูงหรือใกล้ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม นำค่าตอบแทนพิเศษตามผลการประเมินในรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2557 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2557 มารวมเป็นเงินเดือนตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 ในกรณีที่อัตราค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวรวมกับเงินเดือนแล้วมีเศษไม่ถึงสิบบาทให้ปัดเป็นสิบบาท

ทั้งนี้ การปรับเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ จะครอบคลุมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทต่างๆ รวมประมาณ 1.98 ล้านคน ประกอบด้วย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการรัฐสภาสามัญ พนักงานราชการ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในองค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

โดยสำนักงบประมาณได้จัดเตรียมงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแล้ว หากใครหน่วยไหนยังมีข้อสงสัยให้ไปถามที่สำนักงาน ก.พ.และสำนักงบประมาณโดยตรง.

โดย : ซี.12
ที่มา : ไทยรัฐ

“บิ๊กตู่” เปิดงานวันเด็กแห่งชาติ 58 วันที่ 10 ม.ค.นี้ ศธ.เปิดตัวหนังสือวันเด็ก “เมล็ดพันธุ์ของชาติ”

การศึกษาไทย

Print Friendly

พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ศธ.ยังได้จัดทำหนังสือวันเด็กประจำปี 2558 โดยใช้ชื่อว่า “เมล็ดพันธุ์ของชาติ” เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 และยังถือเป็นปีมหามงคลเนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2558 ด้วย โดยในเล่มได้มีบทความเทิดพระเกียรติ “บรมนาถ บรมราชกุมารี” เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ และพระกรณียกิจต่างๆ ที่ทำให้พระองค์ได้รับการขนานพระนามว่า “เจ้าฟ้านักอ่าน” ซึ่งสมควรที่เด็กและเยาวชนไทยจะนำไปเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติตนต่อไป นอกจากนี้ยังมีจุดเน้นเรื่องความรักชาติ ศาสนา และความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความรักความสามัคคี ความกตัญญู วัฒนธรรมความเป็นไทย หน้าที่ของเด็กและเยาวชน และความมีจิตอาสา โดยได้จัดพิมพ์ จำนวน 350,000 เล่ม จำหน่ายในราคา 15 บาท

ด้าน นางสุทธศรี กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมภายในงานวันเด็กแห่งชาติ 2558 แบ่งกิจกรรมเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนที่ 1 ดินแดนเด็กไทยคิดดี ทำดี ปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ โซนที่ 2 ดินแดนอนาคตเด็กไทย ก้าวไกลอาเซียน เน้นทำกิจกรรมที่สะท้อนภาพจากความเป็นไทย ก้าวสู่ความเป็นอาเซียน และกิจกรรมฝึกสมองการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ด้วยการประดิษฐ์ของใช้จากวัสดุต่างๆ รอบตัว และโซนที่ 3 ดินแดน ผจญภัยวัยเรียนรู้ ผจญภัยไปกับเครื่องเล่นเป่าลมขนาดยักษ์ ให้น้องๆ ได้สนุกสนานกัน

ขณะที่ พ.ต.ท.ชรินทร์ กล่าวว่า ในวันที่ 10 มกราคม ทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมการรักษาความปลอดภัยตั้งแต่เวลา 06.30 น.เป็นต้นไป โดยได้จัดกองกำลังจากกองร้อยควบคุมฝูงชน กองบังคับการตำรวจนครบาล จำนวน 211 นาย เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่เด็กและผู้ปกครองที่จะเดินทางมาร่วมงานทั้งภายใน และภายนอกบริเวณงาน

ที่มา : ผู้จัดการ

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

‘ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต’ คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ 2558

Print Friendly

จากสถานการณ์บ้านเมืองที่คนไทยเกิดความแตกแยกทางความคิดกันหนักในช่วงที่ผ่านมา เป็นเหมือนกระจกเงาที่ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมหรือความถดถอยทางด้านคุณธรรมจริยธรรมของคนในสังคมไทยเป็นอย่างมาก การพัฒนาคนให้มีความรู้คู่คุณธรรมจึงเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงและถกคิดร่วมกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

เริ่มต้นจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กำหนด ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ คือ 1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน 3. กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ 4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม 5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทย 6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ 7. เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย 8. มีระเบียบ วินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่ 9. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ 10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ 12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

มาถึงคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 ซึ่งชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันท่านชูประเด็นและให้ความสำคัญกับเรื่องของ “ความรู้” และ “คุณธรรม” เป็นอย่างมาก จึงได้กำหนดคำขวัญวันเด็กในปีนี้และเขียนด้วยลายมือท่านเองว่า “ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต”

ครั้งแรกที่ได้เห็นคำขวัญวันเด็กในปีนี้ ก็รู้สึกดีใจที่รัฐบาลในยุคนี้สมัยนี้ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนให้เป็น “คนเก่ง” ควบคู่กับการเป็น “คนดี” ทำให้คิดถึงพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ทรงย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการศึกษาจำเป็นต้องพัฒนาคนให้เป็น “คนเก่ง” และ “คนดี”ควบคู่กัน นั่นก็คือต้องมี “ความรู้คู่คุณธรรม” เพื่อจะได้เป็นพลังสำคัญในการผลักดันขับเคลื่อนพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวไปในทิศทางที่ต้องการ ดังพระบรมราโชวาทความว่า…

“การศึกษาจะสอนให้คนเก่งแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะอบรมให้ดีพร้อมกันไปด้วย ประเทศเราจึงจะได้คนที่มีคุณภาพ คือ ทั้งเก่ง ทั้งดี มาเป็นกำลังของบ้านเมือง ให้ความเก่งเป็นปัจจัยและพลังสำหรับการสร้างสรรค์และให้ความดีเป็นปัจจัยเพื่อประคับประคองหนุนนำความเก่งให้เป็นไปในทางที่ถูกที่อำนวยผลเป็นประโยชน์อันพึงประสงค์”

หลายต่อหลายคนมักฝากความหวังไว้ที่สถาบันการศึกษาในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้กับเด็ก เยาวชนและคนไทย แต่ในความเป็นจริงนั้นทุกภาคส่วนในสังคมไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันการเมือง สถาบันศาสนา สถาบันสื่อมวลชน รวมทั้งสถาบันวิชาชีพต่าง ๆ ล้วนต้องร่วมกันทำหน้าที่ของตนเองในการสรรค์สร้างคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงามให้เกิดขึ้นในสังคม เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีให้กับเด็กและเยาวชนซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติในอนาคตต่อไป

เมื่อถึงวันเด็กแห่งชาติของทุก ๆ ปี เรามักจะเห็นภาพหน่วยงาน องค์กร บริษัท ห้างร้านต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมแรงร่วมใจให้การสนับสนุนและร่วมกันจัดงานเพื่อส่งมอบความสุขให้กับเด็ก ๆ กันอย่างถ้วนหน้า ส่วนใหญ่เรามักจะเห็นภาพเช่นนี้จนคุ้นชินเพียงเฉพาะในวันเด็กแห่งชาติเท่านั้นเอง จนหลายครั้งได้แอบหวังว่าถ้าหากทุกภาคส่วนในสังคมที่มีความพร้อมช่วยเหลือสังคมได้ร่วมแรงผสานใจหยิบยื่นแบ่งปันรินน้ำใจไมตรีส่งผ่านไปยังกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคมได้มีพลังความพร้อมที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น อย่างน้อยก็จะช่วยขจัดความแตกต่างลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมลงได้บ้าง

ในปีนี้กระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ สนามเสือป่า สำนักพระราชวัง ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. โดยมีส่วนราชการ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนให้การสนับสนุนและร่วมออกบูธอย่างเช่นทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเด็กและเยาวชนให้มีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ ตระหนักถึงความสำคัญของตนเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัยต่อตนเองและสังคม ตลอดจนถึงยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

กิจกรรมงานวันเด็กที่สนามเสือป่าจะแบ่งออกเป็น 3 ดินแดน คือ ดินแดนที่ 1 เป็นดินแดนอนาคต แบ่งออกเป็น 3 โซน คือ โซนความเป็นไทย สืบสานวัฒนธรรมไทย โซนความเป็นอาเซียน และโซนเวิร์กช็อป ให้เด็กประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ดินแดนที่ 2 เป็นดินแดนเด็กไทยคิดดี ทำดี ในดินแดนนี้จะมีการนำเสนอค่านิยมหลักคนไทย 12 ประการ มีการถามตอบชิงรางวัลเกี่ยวกับค่านิยมหลัก 12 ประการ รวมถึงมีมุมหมากรุกไทยให้เด็ก ๆ ได้ทดลองเล่นด้วย ส่วนดินแดนที่ 3 เป็นดินแดนผจญภัยวัยเรียนรู้ จะมีเครื่องเล่นต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ มาเพลิดเพลิน ซึ่งในปีนี้จะมีเครื่องเล่นเพิ่มขึ้นอีกเป็นสองเท่า

นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดพิมพ์หนังสือวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 ภายใต้ชื่อ “เมล็ดพันธุ์ของชาติ” จัดพิมพ์จำนวน 350,000 เล่ม จำหน่ายในราคาเล่มละ 15 บาท ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ความสามัคคี ความกตัญญู วัฒนธรรมความเป็นไทย หน้าที่ของเด็ก อาเซียน เป็นต้น

คุณธรรมเป็นสิ่งที่แทรกอยู่ในทุกช่วงจังหวะของชีวิต การพัฒนาคนในชาติให้เป็นคนเก่ง คนดี มีคุณธรรมจึงต้องเริ่มกันอย่างจริงจัง เพราะเชื่อว่าหากทุกคนมี “ความรู้คู่คุณธรรม” ก็จะเป็นกลไกสำคัญที่จะเป็นตัวช่วยในการกำหนดพฤติกรรมให้คนในสังคมไทยเกิดสำนึกในความเป็นไทย สำนึกต่อสังคมและประเทศชาติ ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่และทุกคนมีความสันติสุขอย่างแท้จริง.

โดย : ฟาฏินา วงศ์เลขา
ที่มา : เดลินิวส์

ความก้าวหน้านโยบายการปฏิรูปการศึกษา

Print Friendly

สรุปผลความก้าวหน้าตามนโยบายการปฏิรูปการศึกษา ภายใต้การบริหารงานของพลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

  1. ความก้าวหน้านโยบาย
    ด้านการปฏิรูปการศึกษา

1) ยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการ เป็นองค์กรหลักที่มุ่งจัดและส่งเสริมการศึกษาให้ประชาชนมีความรูความสามารถ มีคุณภาพและศักยภาพในการพัฒนาตนเองเสริมสร้างสังคมคุณธรรม พัฒนาสังคมฐานความรูและสามารถยืนหยัดในเวทีโลกบนพื้นฐานของความเป็นไทย

โดยมีการจัดระเบียบบริหารราชการในส่วนกลาง เพื่อทำหนาที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและกำกับดูแลการศึกษาทุกระดับและทุกประเภทการศึกษา กำหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา ส่งเสริมและประสานงานการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และการกีฬาเพื่อการศึกษา ติดตามตรวจสอบและประเมินผล

แต่จากการปฏิบัติราชการพบสภาพปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญคือ การกระจายโอกาสทางการศึกษายังไมเป็นธรรมและทั่วถึง เกิดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการการศึกษา มาตรฐานและการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในทุกระดับกำหนดจากส่วนกลาง

ซึ่งไมสอดคลองกับสภาพปัจจุบันและความแตกต่างของแต่ละท้องถิ่น การส่งเสริมการจัดการศึกษายังไมเหมาะสมกับการศึกษาแต่ละระดับและประเภท นโยบายการผลิตผู้สำเร็จการศึกษาไมสอดคลอง กับทิศทางความต้องการของตลาดแรงงานนโยบายการบริหารจัดการศึกษาขาดความต่อเนื่องและชัดเจน เนื่องจากมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง

โครงสร้างการจัดระเบียบบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการยังไมสอดคลองกับภารกิจและไมเป็นเอกภาพ การตัดสินใจการบริหารและจัดสรรงบประมาณรวมศูนย์กลางไว้ในส่วนกลาง สถานศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานมีปริมาณไม่เพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการในทุกระดับและทุกสาขาวิชา

ดังนั้น จากสภาพปัญหาอุปสรรคต่างๆ จึงเป็นกรอบกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปการศึกษา ดังนี้

1. เพิ่มและสร้างโอกาสทางการศึกษาในสังคมไทยอย่างเท่าเทียม

2. ปฏิรูปการเรียนรู้และยกระดับคุณภาพการศึกษา

3. เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และส่งเสริมการวิจัยพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

4. ผลิตและพัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพ

5. ปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

6. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทันสมัย

2) เป้าหมายการปฏิรูปการศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจหน้าที่จัดและส่งเสริมการจัดการศึกษาของชาติ ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ และการพัฒนาประเทศโดยรัฐบาลมุ่งจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ โดยให้ความสำคัญทั้งการศึกษาในระบบและการศึกษาทางเลือกไปพร้อมกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ

1. สร้างคุณภาพคนไทยให้สามารถเรียนรู้ พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้ ด้วยความใฝ่รู้และทักษะที่เหมาะสม

2. คนไทยเป็นคนดีมีคุณธรรม

3. สร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ เพื่อสร้างสัมมาชีพในพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนากำลังคนให้เป็นที่ต้องการเหมาะสมกับพื้นที่

สำหรับกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหน่วยงานดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ ได้กำหนดจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายหลักของการปฏิรูปการศึกษาไว้ คือ สร้างระบบการศึกษาของไทยเป็นที่ยอมรับและเกิดความมั่นคงยั่งยืน  สร้างโอกาสทางการศึกษาในสังคมไทยอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม ยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐานสากล  ยกสถานะวิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง ครูเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี และบูรณาการการปฏิบัติราชการทุกระดับเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกันและเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล

3) ผลการดำเนินงานที่สำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้

คณะที่ปรึกษา ประกอบด้วยนายแพทย์กระแส ชนะวงศ์  – นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์  – นายตวง อันทะไชย  – นางทิชา ณ นครนายมีชัย วีระไวทยะ

คณะกรรมการ  โดยมีพลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ นายกฤษณพงศ์  กีรติกร และพลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองประธานกรรมการ โดยมีกรรมการอีก 21 คน เช่น – พลเอก สุทัศน์  กาญจนานนท์กุล  – นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ – นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา  – นายวิจารณ์ พานิช  – นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์  – นายสมชัย ฤชุพันธุ์ – นางประภาภัทร นิยม – นายวรากรณ์ สามโกเศศ  – นางสิริกร มณีรินทร์  – นายนคร ตังคะพิภพ  – นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ – นายอมรวิชช์ นาครทรรพ  – นายสมพร ใช้บางยาง  – นางสุทธศรี วงษ์สมาน – นายแพทย์กำจร ตติยกวี – นายกมล  รอดคล้าย  – นายชัยพฤกษ์  เสรีรักษ์ – นายพินิติ รตะนานุกูล เป็นกรรมการและเลขานุการ  – นายประวิต เอราวรรณ์  นายชาญ ตันติธรรมถาวร และนายเฉลิมชนม์  แน่นหนา เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว มีหน้าที่จัดทำแนวทางและข้อเสนอแนะเพื่อปฏิรูปด้านการศึกษา เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับด้านการศึกษาต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มอบหมายบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการตามที่เห็นสมควร รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงานเพื่อดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมาย

คณะกรรมการดังกล่าว ได้ประชุมครั้งแรกไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ โดยที่ประชุมได้หารือถึงกรอบการปฏิรูปการศึกษา เพื่อต้องการให้การปฏิรูปการศึกษาเป็นนโยบายพื้นฐานของทุกรัฐบาล ที่ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ก็ควรดำเนินการตามกรอบ เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาของไทยเกิดความต่อเนื่อง ยั่งยืน และไม่ถูกแทรกแซงจากระบบการเมือง ทั้งยังเห็นพ้องในหลักการว่าควรมี คณะกรรมการระดับชาติ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิรูปการศึกษา ทั้งระยะเร่งด่วน (1 ปี) ระยะปานกลาง (1-3 ปี) และระยะยาว (5-10 ปี)

นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ ในคณะกรรมการชุดนี้ 7 คณะ เพื่อเป็นกลไกการดำเนินงานกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อาทิ คณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาระบบงบประมาณและทรัพยากรเพื่อการศึกษา, คณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการและการติดตามประเมินผล, คณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายการศึกษา, คณะอนุกรรมการด้านการกระจายอำนาจ, ด้านการปฏิรูปหลักสูตร ด้านการผลิตและพัฒนาครู เป็นต้น

ประการสำคัญ คือ ได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการปฏิรูประบบการเรียนรู้สู่ผู้เรียน (Education Reform Lab & Coaching Lab) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ดำเนินการเพื่อนำร่องการกระจายความรับผิดชอบ (หรือกระจายอำนาจ) ลงสู่เขตพื้นที่การศึกษา เป็นเวลา 3ปีต่อเนื่อง (พ.ศ.2558-2560) ในเขตพื้นที่การศึกษา 20 เขตๆ ละ 15 โรงเรียน ครอบคลุมโรงเรียนแกนนำซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีผลการเรียนรู้ต่ำเป็นกลุ่มเป้าหมายการดำเนินงาน รวมทั้งสิ้น 300 โรง โดยให้แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาวิเคราะห์สถานภาพและตั้งโจทย์การพัฒนาโรงเรียนดังกล่าว พร้อมทั้งจัดให้มีการสัมมนาเชิงปฏิบัติการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน (Reform Lab) และปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน (Coaching Lab) จากนั้นจึงจะร่วมกันเลือกประเด็นปัญหาสำคัญที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้คณะทำงาน พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และนักประเมินผลติดตามความก้าวหน้าเป็นระยะทุกๆ 3 เดือน และ 6 เดือนต่อไป

ทั้งนี้ จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 7 มกราคม 2558 ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ให้การปฏิรูปการศึกษาเป็นการวางรากฐานที่ดีต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาในด้านต่างๆ ของประเทศอย่างยั่งยืน จึงจะให้มีการประชุมหารือร่วมกันมากขึ้น ทั้งในส่วนของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการทั้ง 7 คณะ อาจเป็นเดือนละ 1-2 ครั้ง

ที่มา : moe

Our partners from Mexico:
Productos de salud
Carlos Torre