ไฟเขียวปรับเกณฑ์ย้ายรอง ผอ.เขต ขอชำนาญการพิเศษเน้นผลผู้เรียน

โรงเรียน - ครูระยอง

Print Friendly

พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรฯ เลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ตามข้อตกลงในการพัฒนางาน โดยมีสาระสำคัญ อาทิ คุณสมบัติผู้ขอรับการประเมิน สามารถยื่นคำขอได้ก่อนที่จะดำรงวิทยฐานะครบตามที่กำหนดในมาตรฐานวิทยฐานะได้ก่อนไม่เกิน 2 ปี ผ่านการพัฒนาจากส่วนราชการ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ความรู้ความสามารถเชิงทฤษฎี ส่วนที่ 2 ประสบการณ์วิชาชีพ ต้องได้รับการรับรองว่าเป็นผู้มีวินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ จากผู้บังคับบัญชาชั้นต้น การพัฒนางานและผลการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงาน พิจารณาจากความสามารถในการปฏิบัติงานในหน้าที่ประจำ และผลที่เกิดกับผู้เรียนหรือคุณภาพผู้เรียน โดยกำหนดให้ยื่นคำขอได้ปีละ1 ครั้ง 2 ช่วงเวลา คือ ก่อนภาคเรียนที่ 1 และก่อนภาคเรียนที่ 2 ไม่น้อยกว่า 90 วัน เป็นต้น
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้าย รองผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) สังกัด สพฐ. ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่ ศธ 0206.4/ ว16 ลงวันที่ 5 ก.ย.56 ดังนี้ 1.กรณีย้ายเพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ของทางราชการ ให้ย้ายรอง ผอ.สพท.ประเภทตำแหน่งที่มีเงื่อนไขไปดำรงตำแหน่งรอง ผอ.สพท.ประเภทตำแหน่งโครงสร้างที่ว่างอยู่ได้ 2.กำหนดสัดส่วนของตำแหน่งรองผอ.สพท.ประเภทตำแหน่งโครงสร้างที่ว่าง เพื่อใช้รับย้าย และใช้ในการคัดเลือกบุคคลมาบรรจุและแต่งตั้งในสัดส่วนที่เท่ากัน 50:50 ซึ่งการปรับปรุงหลักเกณฑ์นี้จะทำให้ตำแหน่งรอง ผอ.สพท.ในประเภทตำแหน่งที่มีเงื่อนไขซึ่งมีจำนวนมากลดลงได้เร็วขึ้น เพราะจะยุบเลิกเมื่อมีตำแหน่งว่างลงและเปลี่ยนไปเป็นตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมต่อไป

ที่มา : สยามรัฐ

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

แนะรัฐเพิ่มเงินอุดหนุนเด็กยากจน

ประเมินผลนักเรียน - ครูระยอง

Print Friendly

ดร.ตรีนุช ไพชยนต์วิจิตร นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศ โดยในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ไทยทุ่มงบประมาณด้านการศึกษาถึง 4.2 แสนล้านบาท แต่กลับไม่ได้คุณภาพการศึกษาที่ดีขึ้น เห็นได้จากผลสะท้อนของการทดสอบระดับนานาชาติ เช่น โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ พิซ่า และผลการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ หรือ ทิมส์ ที่พบว่า ผลการเรียนของเด็กไทยในวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ มีพัฒนาการต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จึงอนุมานได้ว่าปัญหาคุณภาพการศึกษาของไทยไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนงบฯ แต่อยู่ที่ความด้อยประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรมากกว่า

“ เมื่อพิจารณาในภาพรวม พบว่า เด็กไทยยังอ่อนใน 3 วิชาหลัก ได้แก่ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่าเด็กไทยจะใช้เวลาเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนถึง 6 ชั่วโมงครึ่งต่อสัปดาห์ ซึ่งมากกว่านักเรียนในประเทศเกาหลีใต้ แต่ผลการสอบระดับนานาชาติเด็กไทยกลับได้คะแนนต่ำกว่า ซึ่งปัญหานี้เกิดจากการขาดแคลนครูที่มีทักษะในสาขาวิชาดังกล่าวด้วย ” ดร.ตรีนุช กล่าวและว่า นอกจากนี้ไทยยังพบปัญหาความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการศึกษา โดยเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะมีคะแนนสอบดีกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน สอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ในปี 2553 ซึ่งมีนักเรียนในสังกัด 7.7 ล้านคน โดยนักเรียนจำนวนครึ่งหนึ่งมีฐานะยากจน และได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมเพียงปีการศึกษาละ 1,000 บาทต่อหัว ซึ่งเงินจำนวนนี้ยังไม่เพียงพอต่อการยกระดับการศึกษาของเด็กยากจน

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ กล่าวต่อไปว่า การพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศจำเป็นต้องพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนแต่ละวิชาใหม่ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษา นอกจากนี้ควรจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวแก่นักเรียนยากจนเพิ่มเติม เพิ่มความรับผิดชอบของผู้อำนวยการโรงเรียน และครู ต่อผลการเรียนของเด็กให้มีผลสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น และปรับเปลี่ยนการผลิตครู และคัดเลือกครูที่มีคุณภาพ ด้วยการคัดครองบุคลากรที่เก่งเข้าสู่ระบบ และเป็นไปตามความต้องการของโรงเรียน ขณะเดียวกันต้นสังกัดที่ทำหน้าที่ผลิตครูรุ่นใหม่ต้องปรับเปลี่ยนหลักสูตรการฝึกครูให้สอนได้หลากหลายวิชา โดยเฉพาะวิชาหลัก สิ่งนี้จะสามารถตอบโจทย์เรื่องการขาดแคลนครูในวิชาหลักลงได้.

ที่มา : เดลินิวส์

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

สั่งองค์การค้าฯ ทำแผนพิมพ์แบบฝึกหัดแยกตำรา เสนอ ศธ.รื้อ กก.ไกล่เกลี่ยฟ้อง “สมมาตร” – ครูระยอง

Print Friendly

มติบอร์ด สกสค. ให้ยกเลิกตั้ง กก. ไกล่เกลี่ยกรณีองค์การค้าของคุรุสภา ยื่นฟ้อง “สมมาตร” และพวกรวม 5 ราย ตั้งแต่ปี 42 เหตุเรื่องผ่านมานานนับ 10 ปี พร้อมตั้ง เลขาธิการ ก.ค.ศ. มาเป็นประธาน กก. สอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวใหม่ พร้อมสั่งให้ทำแผนจัดพิมพ์ตำราเรียนมาเสนอ “สุทธศรี” เผย นายกฯ แนะพิมพ์ตำราและแบบฝึกหัดแยกกัน ฟาก องค์การค้า สกสค. ดอดพบทีมงาน “สุรเชษฐ์” ยื่นข้อเสนอขอแยกตัวจาก สกสค.

นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมมีมติให้ยกเลิกการตั้งกรรมการไกล่เกลี่ยกรณีองค์การค้าของคุรุสภา (ชื่อเดิม) ซึ่งปัจจุบันคือ องค์การค้าของ สกสค. มอบหมายให้อัยการสูงสุดเป็นโจทย์ยื่นฟ้อง นายสมมาตร มีศิลป์ ผู้อำนวยการองค์การ สกสค. และผู้เกี่ยวข้องรวม 5 คน ข้อหา “เบียดบังทรัพย์สินขององค์การค้าฯประมาณ 250 ล้านบาท มาเป็นของตนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.องค์การค้าของคุรุสภา ตั้งแต่ปี 2542 เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแทน โดยมี นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เป็นประธาน ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดอีกครั้ง พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้ตั้งกรรมการตรวจสอบการเบิกจ่ายที่นอกเหนือจากระเบียบราชการ เพื่อนำเงินคืนคลังตามที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหนังสือทวงถาม กรณีอดีตบอร์ด สกสค. ให้มีการักษาการ ผอ.องค์การค้าฯ โดยมี นายสมยศ ศิริบรรณ ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นประธาน

ปลัด ศธ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ขอให้องค์การค้าฯ ทำแผนการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2558 มารายงานให้ บอร์ด สกสค. รับทราบในการประชุมนัดต่อไป เพื่อจะได้วางแผนและให้สามารถจัดส่งหนังสือไปถึงมือนักเรียนทันก่อนเปิดภาคเรียนได้ รวมถึงได้ขอให้ สพฐ. กำชับให้โรงเรียนสั่งซื้อตามแผนที่กำหนดไว้ด้วย ที่สำคัญ มีการย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ฝากมาว่า อยากให้องค์การค้าฯ พิมพ์หนังสือเรียนและแบบฝึกหัดแยกออกจากกัน เพราะอยากให้เด็กทำแบบฝึกหัดขีด เขียน ได้อย่างเต็มที่ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตัวแทนสหภาพแรงงานองค์การค้าฯและ นายสมมาตร มีศิลป์ ผอ.องค์การค้าฯ ได้เข้าพบทีมที่ปรึกษาของ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ ซึ่งกำกับดูแลองค์การค้าฯ เพื่อรายงานการวางแผนพิมพ์หนังสือแบบเรียนปี 2558 และได้ยื่นข้อเรียกร้องที่จะขอแยกออกจากการกำกับดูแลของ สกสค. ด้วย

ที่มา : ผู้จัดการ

สพฐ.ระดมสมองผู้รู้ด้านการศึกษา เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน

โรงเรียน - ครูระยอง

Print Friendly

นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการ กพฐ. เปิดเผย ถึงการจัดการประชุมเสวนาแนวทางการปฏิรูปการศึกษาขั้นฐาน เมื่อวัน 11 มกราคม 2558 ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพมหานคร ว่า เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นที่ยอมรับ ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติมากที่สุด จึงได้เชิญคณะอนุกรรมการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานผู้บริหารระดับสูง และผู้เกี่ยวข้อง ระดมสมองร่วมเสวนากำหนดแนวทางการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2558-2564 ขึ้นมาโดยมีเป้าหมายวางไว้ชัดเจนว่าจะได้แนวทางการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้น ฐานที่ครอบคลุมและมีความสมบูรณ์ ใน 4 ด้าน คือ

  1. การปฏิรูปการเรียนรู้ (หลักสูตรแกนกลาง ลดภาระงานครูพัฒนาแหล่งเรียนรู้ ทักษะ เนื้อหา คุณลักษณะนักเรียนศตวรรษที่ 21 การใช้ ICT เพื่อการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ และการวัดประเมินผล)
  2. การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา(ระบบการบริหารบุคคล ระบบการผลิต สรรหา ส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู การพัฒนาครู การประเมินครู)
  3. การเพิ่ม-กระจายโอกาสและคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม (การศึกษาทางไกล ระบบ ICT ทางการศึกษา การจัดทุนการศึกษา ระบบงบประมาณอุดหนุน คุณภาพการศึกษา การประกันคุณภาพภายใน ระบบดูแลช่วยเหลือ)
  4. ระบบการบริหารจัดการ (ปรับโครงสร้างการบริหาร การกระจายอำนาจ การบริหารสถานศึกษานิติบุคคล หลักธรรมาภิบาล การปรับระบบอุดหนุน งบประมาณพัฒนาสถานศึกษา ระบบ ICT เพื่อการบริหารจัดการ)

แนวทางการปฏิรูปทุกด้านจะส่งผลให้การศึกษาของไทยมีคุณภาพยืนหยัดในเวทีโลกได้อย่างไม่อายใคร

ที่มา : แนวหน้า

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

สช.เร่งศึกษาปรับเงินอุดหนุนเอกชน รองรับระบบคูปอง-ลดค่าเล่าเรียน – ครูระยอง


สช.เร่งศึกษาปรับเงินอุดหนุนเอกชน รองรับระบบคูปอง-ลดค่าเล่าเรียน

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.)

Print Friendly

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) เปิดเผยว่าจากการประชุมคณะทำงานศึกษาแนวทางการให้การอุดหนุนของรัฐในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนเอกชน ที่มีนายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เป็นประธานในการประชุมคณะทำงานฯเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีมติมอบให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช. )จัดทำแนวทางทางการให้การอุดหนุนของรัฐในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนเอกชนเสนอคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ใน3 ส่วนได้แก่

  1. ปรับโครงสร้างเงินอุดหนุนรายบุคคลนักเรียนโรงเรียนเอกชนจากองค์ประกอบเดิมที่ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เงินอุดหนุนสมทบเป็นเงินเดือนครู และเงินอุดหนุนเพิ่มร้อยละ 10 ตามนโยบายเรียนฟรี ไปสู่รูปแบบการอุดหนุนด้านอุปสงค์ หรือระบบคูปองศึกษาในอนาคต เพื่อช่วยสร้างกระบวนการแข่งขันในเชิงคุณภาพให้แก่ระบบการศึกษา ในระยะยาวในระยะเริ่มแรกจะอุดหนุนในอัตราร้อยละ 70 ของอัตราค่าใช้จ่ายรายบุคคลสำหรับนักเรียนภาครัฐที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.)ศึกษาไว้ในปี 2553 เพื่อช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนที่รับเงินอุดหนุนในปัจจุบันให้มีรายได้ที่เพียงพอสำหรับปรับคุณภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐาน และให้ สกศ. คำนวณอัตราค่าใช้จ่ายรายบุคคลนักเรียนภาครัฐที่เป็นปัจจุบันในแต่ละปี เพื่อใช้เป็นฐานในการปรับอัตราเงินอุดหนุนให้สอดคล้องกับสภาพค่าใช้จ่ายที่แท้จริง
  2. การอุดหนุนในระยะต่อไปให้มีการเชื่อมโยงเงินอุดหนุนกับคุณภาพการจัดการศึกษา โดยกำหนดให้โรงเรียนที่จะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป ต้องมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)กำหนด และให้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการตรวจสอบข้อมูลนักเรียนไม่ให้เกิดความ ซ้ำซ้อนด้วย
  3. การเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาเพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ปกครองในระยะแรกให้โรงเรียนลดค่าธรรมเนียมการศึกษาลงเท่ากับจำนวนที่ได้รับการอุดหนุนเพิ่มขึ้นในแต่ละครั้งด้วย

ที่มา : มติชน

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ประกาศปี 58 ปลอด นร.อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ “ณรงค์” ฟุ้ง! ทำได้จริง 110%

สถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

Print Friendly

ศธ. ประกาศนโยบายปี 2558 เป็นปีปลอดนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ “ณรงค์” มั่นใจ 110% ลดปัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ในทุกระดับชั้นได้แน่นอน จากข้อมูลปัจจุบันมีเด็ก ป.3 มีปัญหานี้อยู่ประมาณ 2.5 – 2.6 หมื่นคนทั่วประเทศ ย้ำเด็กที่โตขึ้นต้องอ่านเขียนคล่องและสื่อสารได้ พร้อมวาง 3 มาตรการให้ สพฐ.- เขตพื้นที่ฯ และสถานศึกษา นำไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลตามที่ประกาศไว้

ภาพจาก : กลุ่มประสัมพันธ์ สร.ศธ.

วันนี้ (12 ม.ค.) เมื่อเวลา 09.45 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) และผู้บริหาร สพฐ. แถลงข่าวประกาศนโยบาย ปี 2558 เป็นปีปลอดนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ โดย พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวว่า ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้มีมาอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นในปี 2558 นี้ ศธ. จึงได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งจากข้อมูล สพฐ. พบว่า ขณะนี้มีนักเรียนประมาณ 25,000 – 26,000 คน ที่ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กที่อยู่ในพื้นที่ชายแดน กลุ่มชาติพันธุ์ เด็กต่างด้าวที่ติดตามพ่อแม่เข้ามาทำงาน ซึ่งไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ในการสื่อสารหลัก ทำให้เมื่อเข้ามาสู่ระบบการศึกษาเด็กจึงประสบปัญหาในการเรียน และเมื่อเด็กอ่านเขียนไม่ได้ก็เป็นผลให้ไม่สามารถเรียนรู้ในวิชาอื่นๆ ได้ตรงนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของเด็ก เพาะฉะนั้น การแก้ปัญหาอันดับแรก คือ ต้องทำให้นักเรียนทุกคนในระบบการศึกษา อ่านเขียนภาษาไทยได้และเข้าใจในสิ่งที่อ่านเขียน ถือเป็นหัวใจำคัญของการจัดการ ศึกษาระดับขั้นพื้นฐาน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ได้กำหนดมาตรการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1. ให้ สพฐ. ประกาศนโยบายและกำหนดมาตรการเร่งรัดคุณภาพให้นักเรียนทุกระดับชั้นสามารถต้องอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่อง เขียนคล่องและสื่อสารได้ มีการกำกับติดตามการดำเนินงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั้ง 225 เขตทั่วประเทศ ซึ่งต้องรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อ ศธ. 2. กำหนดให้ สพท. ดำเนินการประกาศโยบายแก่โรงเรียนในสังกัด ต้องมีข้อมูลการอ่านเขียนของนักเรียนทุกระดับชั้น เพื่อนำมาวิเคราะห์วางแผนการพัฒนาเด็กร่วมกับโรงเรียน และสรุปข้อมูลดังกล่าวรายงานต่อ สพฐ. มีการนิเทศ จัดทำแผนงาน กิจกรรมให้ความช่วยเหฃือสถานศึกษาในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และรายงานความก้าวหน้าต่อ สพฐ. เป็นระยะ และ 3. สถานศึกษา ต้องกำหนดเป็นนโยบายสำคัญให้ครูและผู้เกี่ยวข้องดำเนินการทุกวิธีให้นักเรียนอ่านเขียนได้ตามมาตรฐานของหลักสูตร ปรับระบบบริหารจัดการให้ครูทุกคน ไม่เฉพาะครูวิชาภาษาไทย มีส่วนร่วมรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาอ่านเขียนของนักเรียน มีแผนซ่อมเสริมนักเรียนทุกคนที่มีปัญหา โดยการซ่อมเสริมต้องแล้วเสร็จภายในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ต้องประสานผู้ปกครองให้รับทราบปัญหาและมีส่วนร่วมในการดูแลบุตรหลานให้อ่านเขียนได้ กำกับติดตาม นิเทศ ช่วยเหลือครูในการแก้ปัญหาอ่านเขียนของนักเรียน พร้อมรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อ สพท.อย่างต่อเนื่อง

ที่มา : ผู้จัดการ

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

“ป้ามล” ครูต้นแบบเปลี่ยน “เด็กต้องโทษ” เป็นคนดีคืนสังคม

Print Friendly

สคล.-สสส.จัดกิจกรรมเชิดชูครู “ป้ามล” ต้นแบบครูผู้กล้าเปลี่ยน ดึงเด็กก้าวพลาดกลับคืนสู่สังคม “อดีตเด็กบ้านกาญฯ” เผยได้ชีวิตใหม่กลับใจเป็นคนดีเพราะแง่คิดคำสอนจากป้ามล ด้าน “รองผู้ว่าฯ กทม.”หวังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ครู นักเรียน บุคคลทั่วไปในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า

วันนี้ (11 ม.ค.) ที่โรงแรมเอบีน่าเฮ้าส์ เมื่อเวลา10.00 น. นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันครู และเชิดชูต้นแบบครูผู้กล้าเปลี่ยน “ป้ามล” ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก จัดโดย สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิสื่อเพื่อเยาวชน เครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายในงานมีการร่วมร้องเพลงจุดเปลี่ยน การอ่านบทกวี “ครูคือใคร” และพิธีไหว้ครูที่เคารพจากกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่เข้าร่วมกว่า 150 คน

นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก แสดงปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “เพื่ออนาคตลูกหลานไทย (ผู้ใหญ่) ควรทำอย่างไรดี” ว่า ตนต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะทำให้ทุกคนเห็นว่า ความพิการทั้งกาย และจิตใจของเด็กๆ นั้นมาจากเชื้อโรคที่เรียกว่า “คนทำ” การที่สังคมวางเฉยต่อเรื่องเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรจากการเป็นผู้เพาะเชื้อ และขอให้เชื่อว่าความผิดพลาดในชีวิตของเด็กไม่ได้เกิดจาการไม่มีทักษะอาชีพ แต่เป็นเพราะเด็กยังไม่มีทักษะในการจัดการกับความทุกข์ ความรัก ความจนความคับแค้นในชีวิต แม้สถานพินิจฯ จะเป็นสถานที่ที่สามารถบำบัดฟื้นฟูเยาวชน และคืนคนดีกลับสู่สังคม ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่าเด็กที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงของผู้คุมจะหมดศรัทธาในระบบความยุติธรรม ไม่ศรัทธาในผู้ใหญ่ ไร้ศรัทธาในเจ้าหน้าที่ และที่เลวร้ายที่สุดคือ เขาจะยอมแพ้ที่จะศรัทธาในความดีที่เหลืออยู่ในตัวเอง

“กระบวนการที่บ้านกาญฯ ใช้คือจะให้เด็กๆ มองที่ตัวเอง ว่าเขามีอะไรที่หายไป มีอะไรที่เหลืออยู่ อย่าให้ปัญหาต่างๆ มาปิดกั้นแสงสว่าง และโอกาสในชีวิต ซึ่งผู้ใหญ่ไม่ต้องกังวลว่าเด็กจะไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เพราะเด็กเหมือนต้นไม้พวกเขาโตเข้าหาแสงเสมอ จึงอยากให้ผู้ใหญ่ช่วยทำตัวเป็นแหล่งกำเนิดแสงให้เด็ก เพราะการไปด่าไปว่าเด็กซ้ำๆ ไม่ได้ทำให้อะไรๆ ดีขึ้น ผลคือ เด็กจะจำไม่ได้อีกต่อไปว่าตัวเองก็มีด้านดีอยู่ เมื่อเด็กเชื่ออย่างนั้นแล้วก็ยากที่จะแก้ไขได้ ดังนั้น เราต้องช่วยกันเป็นครู คอยหล่อหลอมเด็ก สร้างเด็กด้วยความเข้าใจ อย่าลืมว่าเด็กทุกคนต้องการความรักในปริมาณที่มาก และจะต้องการมากที่สุดในวันที่เขาทำเรื่องไม่ดีทำเรื่องเลวร้ายที่สุด วันที่เขาโดนจับ วันที่เด็กหญิงคนหนึ่งตั้งท้อง วันที่เขาเป็นผู้แพ้ ทุกวันนี้สังคมไทยมีพื้นที่ดีๆ ที่ให้โอกาสเด็ก เยาวชน ทำสิ่งดีๆ สร้างสรรค์ น้อยมาก แต่กลับปล่อยให้ผู้ใหญ่บางกลุ่มบางพวกเห็นเด็ก เยาวชนเป็นเหยื่อ หาผลประโยชน์แม้จะทำลายชีวิต อนาคตของเยาวชน เช่น บรรดาอบายมุข สิ่งเสพติดทั้งหลาย ผู้มีอำนาจในสังคมไทยจึงต้องตระหนักถึงปัญหานี้ให้มาก” นางทิชา กล่าว

นายเอ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี อดีตเยาวชนที่เคยใช้ชีวิตในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า เคยต้องโทษคดีชิงทรัพย์ตอนอายุ 16 ปี และอยู่ที่บ้านเมตตาได้ไม่นานขอทำเรื่องย้ายไปอยู่ที่บ้านกาญฯ แรกๆ ไม่เคยเชื่อว่ากระบวนการจากบ้านกาญฯ จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่เมื่อได้เจอป้ามล ทำให้เรียนรู้อะไรจากที่นั่นมากมาย ป้ามลเป็นทั้งแม่ทั้งครู สอนให้รู้จักการให้เกียรติเคารพผู้อื่น ที่ผ่านมา ได้รับโอกาสจากป้ามลเยอะมาก ไม่คิดว่านอกจากพ่อแม่จะมีใครที่หวังดีกับเรา แม้จะเคยทำผิดลาดบ่อยครั้ง เช่น แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ก้าวร้าว ไม่เคารพกฎในบ้าน และที่ร้ายแรงคือ มีเรื่องชกต่อยกับครู่อริในบ้านกาญฯ จนต้องถูกส่งไปดำเนินคดีหลายครั้ง แต่ป้ามล ก็ให้โอกาส ไม่เคยโกรธ หรือแสดงความไม่พอใจ ขณะเรียกให้ไปพบก็คอยอบรมสั่งสอน มีคำแนะนำในสิ่งดีๆ ทำให้ฉุกคิดจนตั้งสติได้เห็นถึงอนาคต

“กว่า 8 เดือนที่ผมได้อยู่ที่บ้านกาญฯ ทำให้รู้ว่านี่คือบ้านที่อบอุ่น และป้ามลเป็นครูคนแรกที่ให้โอกาส สอนผมทุกอย่างทำให้ผมคิดได้ และเลิกต่อต้าน เลิกเอาแต่ใจ เลิกเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ป้ามลเป็นครูที่ให้ชีวิตใหม่ หากเปรียบก็คงเป็นเหมือนไม้พายเรือที่คอยช่วยให้เด็กคนนี้ไปถึงฝั่ง จนปัจจุบันนี้ผมได้นำสิ่งดีๆ ที่ป้ามล และกระบวนการจากบ้านกาญฯ มาใช้ในการดำเนินชีวิต และการทำงานของผม” นายเอ กล่าว

ขณะที่ ดร.ผุสดี ตามไท รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในฐานะเพื่อนที่ร่วมทำงาน และสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ว่า ป้ามล เป็นคนที่มีลักษณะพิเศษ 4 อย่าง คือ

  1. เชื่อมั่นและศรัทธาในความดีของทุกคน
  2. มีความอดทนสูง ติดตามและแก้ไขปัญหาต่อสิ่งที่ท้าทายเสมอ
  3. เป็นนักสู้ที่ยืนหยัดบนความถูกต้อง กล้าเผชิญต่อสิ่งต่างๆ เพื่อเด็กเยาวชน
  4. รักคนอื่นโดยไม่มีเงื่อนไข

ที่ผ่านมาป้ามล สามารถดึงเด็กที่ก้าวพลาด กล่อมเกลา ให้โอกาสจนคืนกลับสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ โดยมองที่หลักการไม่มองที่ตัวบุคคล สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นเหมือนการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ครู นักเรียน และบุคคลทั่วไปในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ป้ามล เป็นผู้หญิงธรรมดาที่มีพลังยิ่งใหญ่ กล้าคิด กล้าทำ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรก็ตาม ขอฝากให้กำลังใจ และชื่นชมครูทุกท่านที่ร่วมกันทำงานหนักบ่มเพาะเด็กๆ เพื่อเป็นอนาคตของชาติต่อไป

ที่มา : ผู้จัดการ

UTQ-00224 การศึกษาพิเศษ : ความรู้ในการปฏิบัติงานของครูการศึกษาพิเศษ

เฉลย UTQplus - ครูระยอง

Print Friendly

UTQ-00224 การศึกษาพิเศษ : ความรู้ในการปฏิบัติงานของครูการศึกษาพิเศษ
จำนวนคำถาม : 20 ข้อ 15/20

  • ข้อใดเป็นความหมายของภาษาที่ถูกต้องที่สุด
    – น้องเอมเขียนจดหมายส่งต่อเพื่อนขณะเรียนหนังสือ
  • เทคนิคใดที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ง่ายและประสบความสำเร็จ
    – การเสริมแรง
  • ข้อใดจัดเป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้เพื่อพัฒนาภาษาและการสื่อสารสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
    – Voice Synthesizer
  • ความพร้อมของครูในด้านใดที่จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้
    – การประเมินและสังเกตพฤติกรรมอย่างเป็นระบบ
  • ข้อใดเป็นพฤติกรรมของเด็กที่ครูควรใส่ใจและช่วยเหลือเพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้
    – ขาวเดินไปเดินมา เมื่อมีคนเข้าใกล้ก็จะวิ่งหนี
  • เด็กที่เดินไปมาไม่ยอมเรียน ครูควรใช้สื่อประเภทใดในการจัดการกับพฤติกรรมได้เหมาะสมที่สุด
    – การจัดระบบงาน
  • คุณลักษณะสำคัญข้อใดที่ช่วยให้ครูการศึกษาพิเศษปฏิบัติงานได้ในความหลากหลายของผู้เรียน
    – มีวุฒิภาวะทางอารมณ์
  • นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการเรียนการสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษควรคำนึงถึงข้อใดเป็นสำคัญ
    – เหมาะสมกับความสามารถของเด็ก
  • ครูควรคระหนักถึงลักษณะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษในด้านใดที่จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้มากที่สุด
    – ความบกพร่องของเด็กแต่ละประเภท
  • กิจกรรมในข้อใดที่ทำให้ครูรู้จักผู้เรียนที่เป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
    – ถูกทุกข้อ
  • การวิจัยทางการศึกษาพิเศษจะได้ปัญหาสำหรับการทำวิจัยจากแหล่งใดบ้าง
    – การจัดการเรียนรู้และผู้เรียน
  • ข้อใดถูกที่สุด ในบทบาทของครูในการนำความรู้ทางจิตวิทยามาใช้กับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
    – การสร้างโอกาสในการเรียนรู้สำหรับผู้เรียน
  • การวิจัยเพื่อศึกษาผลการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักเรียนที่ กล้ามเนื้อมืออ่อนแรง ครูควรใช้เครื่องมือใดในการเก็บรวบรวมข้อมูล
    – แบบสังเกตและแบบทดสอบ
  • ข้อใดเป็นการปรับพฤติกรรมผู้เรียนที่สอดคล้องกับหลักการจัดพฤติกรรม
    – การปรับแต่งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมโดยสร้างพฤติกรรมใหม่
  • เดิมท่านเป็นครูในโรงเรียนที่สอนเด็กปกติ ได้ขอย้ายมาสอนใกล้บ้านซึ่งเป็นโรงเรียนเฉพาะความพิการท่านจะเตรียมตัวอย่าง ไรเพื่อมาปฏิบัติงานใโรเรียนแห่งใหม่
    – หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเด็กพิเศษเพื่อเป็นข้อมูลในการปฏิบัติงาน
  • ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการศึกษาจิตวิทยาการศึกษาสำหรับครูพิเศษ
    – วางแผนการศึกษา การจัดหลักสูตร อุปกรณ์การสอน และการบริหารได้อย่างถูกต้อง
  • เด็กออทิสติกควรใช้สื่อประเภทใดเพื่อช่วยส่งเสริมการสื่อสารได้ดีที่สุด
    – บัตรภาพ
  • ครูการศึกษาพิเศษควรนำหลักธรรมใดมาใช้ในการปฏิบัติงานที่จะทำให้มีความสุข สนุกกับงาน ทำงานได้เป็นระบบและมีความก้าวหน้า
    – อิทธิบาท 4
  • การบริหารจัดการในชั้นเรียนการศึกษาพิเศษ ข้อใดมีความสำคัญมากที่สุด
    – ครูยอมรับเด็ก
  • ครูในฐานะนักวิจัยควรมีทักษะพื้นฐานใดที่จะช่วยให้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงาน
    – มีความมุ่งมั่น สนใจใฝ่รู้ และมักแสวงหาความรู้ในการทำงาน

โดย : โอตะคุ น่ารักดี

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

“เชียงใหม่โมเดล”ขอสิทธิไม่รับนโยบายศธ.

Print Friendly

จากการเสวนาวิชาการเวทีปฏิรูปการเรียนรู้สู่การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 35 ในหัวข้อ “แผนยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่โดยใช้พื้นที่เป็นฐาน” จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) เมื่อเร็วๆนี้ นายไพรัช ใหม่ชมภู ผอ.สำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะเลขานุการภาคีเชียงใหม่เพื่อการปฏิรูปการศึกษา กล่าวว่า วิกฤติด้านการศึกษากำลังเป็นปัญหาระดับชาติ ในขณะที่การจัดการศึกษาภายใต้กรอบการทำงานแบบเดิมทำให้เกิดข้อจำกัด และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ภาคส่วนต่างๆในจังหวัดเชียงใหม่ต่างตระหนักถึงปัญหานี้จึงได้ร่วมกันจัดตั้งภาคีเชียงใหม่เพื่อการปฏิรูปการศึกษาขึ้น โดยมี 120 ภาคีเครือข่าย 80 หน่วยงาน 40 บุคคล โดยมุ่งเน้นช่วยกันจัดการศึกษาในบริบทของเชียงใหม่ หรือ เชียงใหม่โมเดล เพื่อตอบสนองต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนเชียงใหม่ได้อย่างแท้จริง โดยมีสำนักการศึกษาฯ อบจ.เชียงใหม่เป็นหน่วยสนับสนุนประสานเชื่อมโยงการทำงานทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายสำคัญมุ่งสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของคนล้านนา สร้างเด็กให้มีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ควบคู่การมีสัมมาชีพ และให้พื้นที่จัดการตนเอง เรียกว่าเป็นการมอบอำนาจการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชน เปลี่ยนจากการสั่งการไปเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้

นายเฉลิมชาติ นครังกุล ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การศึกษาคือการสร้างคนต้นน้ำ ส่วนภาคธุรกิจคือลูกค้า ที่ผ่านมาสถาบันการศึกษาจะผลิตอย่างไรก็ได้ ไม่เคยตามไปดูผลงาน จนต้องมีเสียงสะท้อนจากภาคธุรกิจเกี่ยวกับปัญหาคุณภาพของผู้เรียน ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ และหากปล่อยไว้ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของชาติ ภาคธุรกิจจึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษาทั้งที่ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวข้อง

“ ต้นเหตุของปัญหาคือค่านิยมของคนไทยที่อยากให้ลูกหลานเรียนปริญญา ทำให้สถาบันอุดมศึกษาเปิดรับเด็กตลอด ทั้งที่ควรลดอุดมศึกษาและหันไปเพิ่มอาชีวะ เหมือนประเทศเจริญแล้วที่จะมีผู้จบอุดมศึกษาเพียงร้อยละ 30แต่จบอาชีวะถึงร้อยละ 70” นายเฉลิมชาติ กล่าว

พระครูศรีสิทธิพิมล เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ตนมองว่าการศึกษาของไทยยังขาดการสอนให้คิดวิเคราะห์ รวมถึงการศึกษาสงฆ์ด้วย แม้จะมีพระที่เรียนจบเปรียญธรรม 9 ประโยค แต่ก็แค่เก่งท่องเก่งแปลบาลี เมื่อมีปัญหาทางศาสนาเกิดขึ้น ไม่เคยเห็นออกมาแสดงความคิดเห็น มีแต่พระนักพูดเพียงไม่กี่รูป นอกจากนี้ตนยังมองว่าปัญหาการศึกษาไทยส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาทางโครงสร้างที่มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อย เมื่อเปลี่ยนคนใหม่ก็เปลี่ยนนโยบายใหม่ ซึ่งบางครั้งก็ไม่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ เช่น มีนโยบายให้สอนเด็กนักเรียนว่ายน้ำ ในขณะที่เชียงใหม่ไม่เคยนึกถึงเรื่องว่ายน้ำเลย ตนจึงอยากถามว่าแต่ละจังหวัดจะสามารถปฏิเสธนโยบายจากส่วนกลางได้หรือไม่ โดยให้เลือกรับเฉพาะนโยบายที่จำเป็นสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่เท่านั้น

ศ.นพ.ประเวศ วะสี กล่าวว่า การทำปฏิรูปจะใช้วิธีสั่งไม่ได้ แต่ต้องให้เกิดจากการก่อตัวจึงจะเป็นของจริง ซึ่งรูปแบบของเชียงใหม่โมเดลเป็นตัวอย่างของกระบวนการถอนตัวจากอำนาจ มุ่งเปลี่ยนวิธีจัดการศึกษาจากการที่ครูพูดสอนไปเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยเอาชีวิตเป็นตัวตั้งไม่ใช่เอาวิชาเป็นตัวตั้ง ซึ่งโรงเรียนที่ทำได้ตามรูปแบบนี้พบว่าเด็กเรียนอย่างมีความสุข ผู้ปกครองก็มีความสุข สังคมก็มีความสุข

“ การสอนของครูก็คือการใช้อำนาจสั่งการ ซึ่งการเรียนรู้กับอำนาจไปด้วยกันไม่ได้ การสอนจึงเป็นการปิดพื้นที่ทางความคิด เพราะจะต้องท่องอย่างเดียว ไม่เกิดการเรียนรู้ ท่องแล้วก็ลืม เป็นการทุ่มกำลังไปสู่ความสูญเปล่า อีกทั้งปัญหาของประเทศไทยคือมีโครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์ จึงมีการเสนอให้คืนอำนาจให้ประชาชนมากที่สุดในรูปแบบของชุมชน หรือจังหวัดจัดการตนเอง เหมือนในสหรัฐอเมริกาที่รัฐบาลกลางไม่มีอำนาจสั่งการ แต่ท้องถิ่นจะมีอำนาจจัดการตนเองทุกเรื่อง โดยส่วนกลางแค่ทำหน้าที่สนับสนุนเชิงนโยบายและวิชาการเท่านั้น” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว

ที่มา : เดลินิวส์

สวทช. เปิดตัวเกมเรียนรู้วิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตผ่านบรรพชีวินไทย

สถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

Print Friendly

นายนำชัย ชีววิวรรธน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายสื่อวิทยาศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช.ร่วมกับบริษัทแปลนทอยส์ จำกัด เปิดตัว The Xvolution game หรือ เกมเศรษฐีไดโนเสาร์ไทย ที่รวมเอาความรู้ “ไดโนเสาร์พันธุ์ไทย” และ “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” มาผลิตในรูปแบบเกมกระดานเป็นครั้งแรก พร้อมเปิดให้ทดลองเล่นและแข่งขันชิงรางวัลที่บูธแปลน ทอยส์ ห้างสรรพสินค้าอิเซตัน ชั้น 4 ระหว่างวันที่ 8-14 มกราคม เป็นแบบเกมกระดาน (board game) ที่สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และข้อมูลบรรพชีวิน (ซากดึกดำบรรพ์) ที่ค้นพบในประเทศไทย เพื่อให้เยาวชนเข้าใจถึงทฤษฎีวิวัฒนาการและส่งเสริมให้ซากดึกดำบรรพ์ที่ค้น พบในเมืองไทยเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเกมกระดานที่พัฒนา ขึ้นนี้เหมาะสำหรับเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 8 ปีขึ้นไป สามารถเล่นได้ตั้งแต่ 2-6 คน

“ความพิเศษของ The Xvolution game เราได้ ดร.วราวุธ สุธีธร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ชนิดใหม่หลายชนิดในประเทศไทยเป็น ที่ปรึกษา ทำให้ความรู้ด้านบรรพชีวินที่สอดแทรกอยู่ในเกมมีความครบถ้วนสมบูรณ์อย่างมาก เช่น ภาพไดโนเสาร์พันธุ์ไทยที่เป็นตัวเล่นหลักในเกมกระดาน อาทิ สยามโมไทรันนัส อีสานเอนซิส สยามโมซอรัส สุธีธรนิ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน นั้น วาดขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยอ้างอิงตามหลักฐานทางวิชาการที่มีการขุดค้นพบ นอกจากนี้ สวทช. ยังร่วมกับบริษัทจีซอฟต์บิส จำกัด นำเทคโนโลยีสื่อเสมือนจริง (Augmented Reality) มาพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เด็กๆ เห็นไดโนเสาร์พันธุ์ไทยบนตาเดินในรูปแบบ 3 มิติ ที่เคลื่อนไหวและส่งเสียงร้องได้ ทั้งยังถ่ายภาพและแชร์ภาพบนโซเชียลมีเดียผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บ เล็ตได้อีกด้วย เรียกว่าครบถ้วนทั้งความสนุกและความรู้ ก็หวังว่าจะเป็นอีกสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นเรื่องสนุก สำหรับเด็กทุกคน”

นายปีย์ชนิตว์ เกษสุวรรณ เยาวชนในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเด็กและเยาวชน (JSTP) สวทช. ผู้ออกแบบเกมกระดาน กล่าวว่า จุดเด่นของ The Xvolution game ที่พัฒนาขึ้น คือ เน้นให้มีรูปแบบการเล่นที่ง่ายคล้ายกับการเล่นเกมเศรษฐีซึ่งคนส่วนใหญ่จะ คุ้นเคยอยู่แล้ว เนื้อหาของเกมสอดแทรกการเรียนรู้วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ที่ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย การต่อสู้ การป้องกันตัว การกลายพันธุ์ ฯลฯ เพื่อให้อยู่รอดและมีวิวัฒนาการที่สูงขึ้นไป โดยผู้ชนะในเกม คือ ผู้ที่แข็งแกร่งหรือมีระดับขั้นวิวัฒนาการสูงสุด

“ในเกมจะมีตาเดินทั้ง หมด 36 แผ่น แต่ละแผ่นมีลักษณะเป็นรูป 6 เหลี่ยม ซึ่งเด็กๆ สามารถนำมาต่อกันเพื่อออกแบบทางเดินเกมได้เองว่าอยากให้เป็นแบบ ไหน นอกจากนี้ยังเพิ่มความสนุกด้วยการวางตาเดินให้มีจุดแบทเทิล (battle) หรือ ต้องต่อสู้กัน ซึ่งแต่ละจุดแบทเทิลจะมีเหตุการณ์สมมุติต่างๆ เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ป่า อากาศเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง สัตว์ที่อยู่ในนั้นจะต้องต่อสู้กัน สมมุติว่าเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง อากาศเย็นมาก พวกที่มีขนปุยก็จะชนะกลุ่มที่มีหนังหนา กลุ่มที่มีหนังหนาก็จะชนะกลุ่มที่มีหนังบาง เป็นต้น ซึ่งเด็กๆ จะได้เรียนรู้ว่าเมื่อโลกเจอกับอุบัติภัยแบบนี้ สัตว์ที่สามารถอยู่รอดได้นั้น จะมีลักษณะและการปรับตัวเช่นไร และเมื่อผู้เล่นเดินครบรอบ ก็จะมีการ์ดเลเวลอัพ (level up) เพื่อเพิ่มพลังให้กับไดโนเสาร์แต่ละสายพันธุ์ เหมือนมีวิวัฒนาการมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ยุคธรณีกาลถัดไป ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงราย ละเอียดบางส่วนของเกมเท่านั้น เชื่อว่าเด็กๆ ที่ได้เล่นเกมจะได้รับความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการและรู้จักสัตว์ดึกดำ บรรพ์ของไทยมากขึ้น รวมทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าต้นแบบเกมกระดานชิ้นนี้จะช่วยเปิด ตลาดอุตสาหกรรมของเล่นวิทยาศาสตร์ไทยในอนาคต”

ที่มา : มติชน

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

Our partners from Mexico:
Productos de salud
Carlos Torre