ปรับเป้าแก้เด็กอ่าน-เขียนไม่ได้จาก ป.3 เหลือ ป.1 – ครูระยอง

Print Friendly

นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติว่าจะนั่งเป็นประธานซุปเปอร์บอร์ดด้านการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และได้มอบนโยบายเร่งด่วน 6 เรื่องให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ไปดำเนินการ ซึ่งหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่ง สพฐ.พร้อมรับและจะปรับการทำงานให้สอดคล้องกับนโยบายนายกฯ โดยเรื่องแรก นายกฯ ระบุว่านักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ต้องอ่านออกเขียนได้ ซึ่ง เดิมนั้น สพฐ. กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่แต่ตั้งเป้าหมายไว้กับนักเรียนในระดับ ป.3 อย่างไรก็ตาม จากนี้จะปรับเป้าหมายการทำงานใหม่เริ่มตั้งแต่ระดับ ป.1 และกำหนดให้ 80% ต้องอ่านเขียนได้ตามมาตรฐานการเรียนการสอนที่กำหนดไว้ ส่วนอีก 20% นั้นจะเป็นกลุ่มเด็กที่มีความบกพร่อง เช่น ออทิสติก สมาธิสั้น และอีกครึ่งเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ เด็กต่างด้าว ค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะทำให้อ่านออกเขียนได้เร็วเท่าเด็กปกติ

อย่างไรก็ตาม สพฐ. จะนำนวัตกรรมใหม่ที่แก้ไขปัญหาอ่านออกเขียนได้มาใช้และแจกไปยังโรงเรียนต่างๆ อาทิ การสอนแบบแจกลูกสะกดคำ รวมทั้งจะมีการอบรมพัฒนาครูด้วย ทั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลว่าปกติแล้วเด็กระดับ ป.1 สามารถอ่านออกเขียนได้ภายใน 60 วัน แต่เป็นการอ่านออกเขียนได้ตามมาตรฐานของเด็ก ป.1 เพราะในแต่ละระดับจะกำหนดมาตรฐานไม่เหมือนกัน แต่ยืนยันว่า สพฐ.จะไม่เร่งรัดการสอนเด็ก ป.1 จนเกินไป

นายกมล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ นายกฯ อยากให้ส่งเสริมการเรียนการสอนสายอาชีพให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อไม่ให้เด็กมุ่งแต่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยและเพื่อให้เด็กไทยมีความรู้ในทักษะวิชาชีพด้วย โดยเรื่องดังกล่าว สพฐ. และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้วางแนวทางการทำงานร่วมกันไว้ 2 แนวทาง คือ

  1. สพฐ. เป็นเครือข่ายบ่มเพาะนักเรียนสายอาชีพระดับ ม.ต้น โดยคาดหวังว่าเด็กกลุ่มนี้เรียนจบจะเข้าเรียนต่อสายอาชีพ
  2. ผู้เรียนในโรงเรียน สพฐ. เรียนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และเรียนรายวิชาเพิ่มเติมจากรายวิชาชีพตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เมื่อจบหลักสูตรแล้วผู้เรียนได้รับ 2 วุฒิโดยมีเป้าหมายในกลุ่มโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำตำบล โรงเรียนขยายโอกาส โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์

อย่างไรก็ตาม นายกฯ มีความเป็นห่วงใยเรื่องการพูดภาษาอังกฤษของเด็กไทย จึงอยากให้ ศธ. เร่งปลูกฝังในเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเชื่อว่าในอนาคตรัฐบาลจะต้องประกาศนโยบายให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง เพราะเป็นภาษาสากลที่ทุกคนต้องเรียนและใช้เพื่อการสื่อสารแล้ว โดยนายกฯ ให้ข้อเสนอแนะว่าเด็กไทยควรได้เรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาโดยตรงเพื่อให้คุ้นกับสำเนียงของเจ้าของภาษา ซึ่งในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของ สพฐ.นั้นก็มีการนำแนวทางของบริติซ เคานซิล จากประเทศอังกฤษมาใช้ และทราบว่ามา รมว.ศึกษาธิการ กำลังหารือกับรัฐบาลประเทศอังกฤษ เพื่อขอความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และบริติช เคานซิล ให้มาช่วยวางระบบการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษในประเทศไทยทั้งในระบบโรงเรียนและนอกโรงเรียนด้วย เพราะประเทศไทยมีจุดอ่อนในเรื่องนี้ ตนคิดว่าหากวางระบบการเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจังจะพลิกโฉมการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทยได้อย่างแน่นอน

ที่มา : ผู้จัดการ

‘บิ๊กน้อย’ติดปีกพัฒนาคุณภาพครูไทยเสริมด้วยระบบ TEPE online – ครูระยอง

Print Friendly

รมช.ศธ. เตรียมติดปีกบุคลากร”แม่พิมพ์”ของชาติ ด้วยการเสริมระบบ TEPE online พัฒนาคุณภาพครู โดยลงไปกำกับดูแลใกล้ชิด ด้วยการมอบนโยบายการพัฒนาครู เน้นการสอนให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน และเสริมวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพที่ได้รับการยกย่อง เสริมด้วยการยกคุณภาพชีวิตให้ครูสอดคล้องกับเศรษฐกิจ…

ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ แจ้งวัฒนะ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานมอบนโยบายการพัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษา โดยยึดถือภารกิจและพื้นที่ปฏิบัติงานเป็นฐาน ด้วยระบบ TEPE online โดยมี ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) นางสุจิตรา พัฒนะภูมิ รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานกรรมการคุรุสภา รศ.ดร. บัญชา ชลาภิรมย์ คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1และ ข้าราชการกระทรวงศึกษาฯเข้าร่วมพิธี

พล.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีนโยบายเร่งด่วนเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา โดยทบทวนหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนากระบวนการคิด วิเคราะห์ รวมทั้งปลูกฝังในเรื่องค่านิยมหลัก 12 ประการ มีความสามารถรอบด้านทั้งทางร่างกายและสังคม ซึ่งในส่วนนี้ยังเล็งเห็นเพิ่มเติมว่า จะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมให้วิชาชีพครู เป็นวิชาชีพชั้นสูงในสังคม เป็นบุคลากรที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม มีภูมิความรู้และทักษะในการสื่อสารถ่ายทอดความรู้ที่เหมาะสม ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีสอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมไทยในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ การจะเลื่อน วิทยฐานะของข้าราชการครู จึงเป็นทางเลือกสำคัญ ที่จะช่วยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษามีโอกาสพัฒนาต่ออย่างมั่นคง ทั้งทางหน้าที่การงานและรายได้ โดยเฉพาะการที่ กคศ.ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธิการในการขอมีหรือขอเลื่อนวิทยฐานะใหม่ ที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวิธีเป็นทางเลือก ที่เรียกว่าหลักเกณฑ์ในการทำข้อตกลงการพัฒนางาน

พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ครู 90กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่งผลงานแล้วก็ตก เพราะว่าครูสพฐ.หรือครูระดับประถมและมัธยมของเราไม่มีความถนัดในการทำผลงานรูปแบบของงานวิจัยและพัฒนาแต่ถนัดที่จะทำงานในพื้นที่ปฏิบัติงานได้แก่ โรงเรียนและเขตพื้นที่มากกว่า กคศ.จึงกำหนดหลักเกณฑ์นี้มาให้โอกาสครูทำข้อตกลงการพัฒนางานของตนเอง ทำงานในพื้นที่ปฏิบัติงานของตนเอง ประเมินในพื้นที่ปฏิบัติงานของตนเอง และที่สำคัญประเมินที่ความสำเร็จและคุณภาพที่เกิดกับนักเรียนในความรับผิดชอบของตนเอง เชื่อมั่นว่าครูของเราทำได้และทำได้ดี ตลอดจนเกิดประโยชน์กับนักเรียนโดยตรงอย่างแน่นอน แต่การขอมีและเลื่อนวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์และวิธีการใหม่นี้ กคศ.ได้กำหนดให้ครูที่จะขอทำข้อตกลงการพัฒนางานจะต้องผ่านการพัฒนาตามที่ส่วนราชการ (สพฐ) กำหนด 2 ส่วนก่อน ได้แก่ O ส่วนที่1 การพัฒนาความรู้ความสามารถเชิงทฤษฎี O ส่วนที่2 การฝึกประสบการณ์วิชาชีพ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดหลักสูตรในการพัฒนาความรู้ความสามารถเชิงทฤษฎีมาไว้ในระบบ TEPE Online โดยครูทั่วประเทศสามารถเข้าสู่ระบบการพัฒนาได้ โดยไม่ต้องไปอบรมในสถานที่อื่นๆนอกพื้นที่การปฏิบัติงาน เป็นการพัฒนาที่สามารถพัฒนาตนเองได้ทุกคน ทุกสถานที่และทุกเวลา ไม่ต้องจ่ายเงินลงทะเบียนใดๆ ทั้งสิ้น

“ที่สำคัญไม่ต้องละทิ้งห้องเรียน และครูยังมีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นตามภารกิจที่ตนเองรับผิดชอบอีกด้วย จึงเป็นการคืนความสุขให้ครู คืนความสุขให้นักเรียน ประชาชนและสังคมอย่างแท้จริง และเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของการเดินหน้าประเทศไทยในด้านการจัดการศึกษาของรัฐบาล”พล.อ.สุรเชษฐ์กล่าว

ด้านดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า คุณภาพการศึกษาระดับประเทศอยู่ในระดับที่ต้องพัฒนา และเมื่อวิเคราะห์สถานการณ์ย้อนหลังพบว่า คุณภาพผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีเหตุปัจจัยของปัญหาที่สำคัญคือ ครูไม่มีโอกาสจัดการเรียนการสอนได้เต็มเวลา เต็มหลักสูตร เนื่องจากข้าราชการครูต้องเข้าสู่กระบวนการพัฒนาศักยภาพตามระบบ เช่น เมื่อครูทำงานวิชาการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนและนำผลงานนั้นไปนำเสนอขอตำแหน่งใหม่ เมื่อผ่านการประเมินแล้วก่อนเข้าสู่ตำแหน่งใหม่ต้องเข้ารับการพัฒนาด้วยการประชุมอบรมก่อนแต่งตั้งจำนวน 5–6 วัน และเมื่อมีข้าราชการครูสอบเปลี่ยนตำแหน่งสายงานใหม่ จากครูผู้สอนไปสู่ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ต้องเข้ารับการอบรมก่อนเข้าสู่ตำแหน่งใหม่ จำนวน 23 วันทำการ และการเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษาของข้าราชการครู เมื่อสอบผ่านก่อนได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้าสู่ตำแหน่ง ต้องเข้ารับการอบรมปฏิบัติการเป็นเวลา จำนวน 45 วัน ซึ่งนอกจากจะเสียเวลา และละทิ้งภาระงานประจำไปเข้ารับการอบรมปฏิบัติการทางตรงแล้ว รัฐบาลยังเสียงบประมาณเพื่อการนี้อีกจำนวนไม่น้อยในแต่ละปีงบประมาณ ดังนั้น เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณของทางราชการ และคืนเวลาปฏิบัติราชการในหน้าที่ให้กับข้าราชการครู สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ.จึงได้วางแผนปรับเปลี่ยนรูปการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในรูปแบบใหม่เป็น

“การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยยึดภารกิจและพื้นที่การปฏิบัติงานเป็นฐานด้วยระบบ TEPE Online (Teahers and Educational Personnels Enhancement Based on Mission and Funtional Areas as Major) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาครู และบุคลาการทางการศึกษาที่มีระบบ และกระบวนการที่เน้นให้ครู และบุคลากรทางการศึกษาได้พัฒนาตนเองผ่านระบบออนไลน์ ที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา”นายกมลกล่าว และว่าโดยระบบ TEPE Online ประกอบด้วยส่วนของการพัฒนาตนเอง และส่วนการรับรองความรู้ โดยเริ่มจากความต้องการในการพัฒนาตนเองตามวัตถุประสงค์การพัฒนา เลือกหลักสูตรเพื่อศึกษาเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การพัฒนาที่มีอย่างหลากหลายสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพ และองค์ความรู้สำคัญที่จำเป็น ดำเนินการศึกษาผ่านระบบ TEPE Online ตรวจสอบผลการพัฒนา และเข้าสู่การทดสอบเพื่อรับรองความรู้จากศูนย์สอบจังหวัดที่มีอยู่ในทุกจังหวัด ด้วยกระบวนการที่ไม่ยุ่งย่าก ซับซ้อน ตลอดจนยังไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางเข้ารับการอบรมตามกระบวนการเดิมอีกด้วย

“สพฐ.เล็งเห็นว่า TEPE Online จะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สามารถเรียนรู้ได้ตามความต้องการทุกสถานที่ทุกเวลาตามที่ต้องการด้วยตนเอง ทุกสถานที่ตามความพร้อม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการปฏิบัติงานในหน้าที่อย่างมีประสิทธิผล สู่การพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น”เลขาฯสพฐกล่าว.

ที่มา : ไทยรัฐ

ครูอังกฤษหนาว!วัดระดับสุดเข้มต้องได้คะแนนสูงกว่าช่วงชั้นที่สอน

Print Friendly

สพฐ.เผยประเมินครูภาษาอังกฤษต้องได้คะแนนในระดับสูงกว่าที่สอน ใช้โรงเรียนเป็นสนามสอบและมีผู้คุมสอบเพื่อป้องกันโกง โดยให้เวลาทำแค่ 1 ชั่วโมง ยันผลที่ได้ไม่เกี่ยววิทยฐานะ ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ต้องเข้าอบรม

นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาฯ กพฐ.) กล่าวถึงการวัดผลประเมินครูภาษอังกฤษที่จะมีการจัดขึ้นในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ ว่า โดยใช้แบบทดสอบมาตรฐานการประเมินความสามารถทางภาษา หรือ Common European Framework of Reference for Languages (CEFR) ซึ่งแบบทดสอบนี้จะเน้นทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ฟัง อ่าน พูด เขียน โดยตัวแบบทดสอบจะกำหนดสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมทดสอบได้ตอบคำถาม เช่น การฟังจะมีการทดสอบการฟังบทสนทนาต่างๆ, การฟังการอ่านบทความ เป็นต้น เนื่องจากข้อสอบดังกล่าวเป็นระบบที่ปฏิบัติการแบบออนไลน์ ทำให้ข้อสอบของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน และขณะที่ครูทำข้อสอบก็จะมีการประเมินอยู่ตลอด เช่น หากครูทำข้อสอบในระดับง่ายได้อย่างรวดเร็ว ระบบก็จะส่งข้อสอบที่มีระดับสูงขึ้นมาให้ครูทดลองทำ เป็นต้น

ทั้งนี้ ระดับการวัดความสามารถในการทดสอบครั้งนี้มีทั้งหมด 6 ระดับคือ

  • A1 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษของเด็กระดับประถมศึกษา หรือเทียบคะแนน TOEIC 0-110 คะแนน
  • A2 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษของเด็กระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หรือเทียบคะแนน TOEIC 110-250 คะแนน
  • B1 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษของเด็กระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบคะแนน TOEIC 255-400 คะแนน
  • B2 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษของเด็กในระดับอุดมศึกษา หรือเทียบคะแนน TOEIC 405-600 คะแนน
  • C1 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษที่มีเกือบจะเทียบเท่าเจ้าของภาษา หรือเทียบคะแนน TOEIC 605-780 คะแนน
  • C2 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษเทียบเท่ากับเจ้าของภาษา หรือเทียบคะแนน TOEIC 785-990 คะแนน

อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบสอบครั้งนี้ตนได้มอบหมายให้เขตพื้นที่ฯ ที่เข้าร่วมการประเมินจัดหาโรงเรียนที่มีความพร้อมทางด้านคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นสนามในการจัดการทดสอบ และแต่ละห้องสอบจะมีผู้คุมสอบอยู่ด้วย เนื่องจากตัวแบบทดสอบเป็นลักษณะออนไลน์ที่มีเวลาในการทำเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น และตัวแบบทดสอบซึ่งเป็นโปรแกรมจะส่งข้อสอบระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาทดสอบครู หากมีการทำมั่ว หรือทำผิดซ้ำๆ แบบทดสอบจะส่งข้อสอบในระดับเดิมซ้ำๆ จนหมดชั่วโมง จะไม่มีการเลื่อนไปในระดับที่ยากขึ้น แต่ถ้าหากทำข้อสอบได้ โปรแกรมก็จะส่งข้อสอบระดับที่ยากขึ้นมาให้ทำอีกเรื่อยๆ จนหมดชั่วโมง ซึ่งผลการทดสอบที่ได้ โปรแกรมจะทำหน้าที่ประมวลผลเอง

สำหรับเกณฑ์การพิจารณา นายกมลกล่าวว่า ครูที่ผ่านเกณฑ์ควรจะมีครูที่ทำการประเมินที่จะได้ระดับความสามารถมากกว่าระดับที่ตนสอนอยู่ในปัจจุบัน เช่น หากสอนระดับประถมก็ควรจะได้ระดับการสอนระดับมัธยม เป็นต้น แต่หากได้ผลประเมินน้อยกว่าก็จะต้องมีการเข้าอบรมและพัฒนาอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม การทดสอบในครั้งนี้จะไม่มีผลต่อการปฏิบัติงานหรือวิทยฐานะของครูแต่อย่างใด เพราะเป็นการประเมินเพื่อจับกลุ่มและวัดระดับความสามารถของครูเท่านั้น และหากจะนำมาใช้เพื่อกำหนดวิทยฐานะของครูแล้ว ลักษณะข้อสอบจะต้องมีความละเอียด มีระดับที่ยาก และต้องมีเวลาทำแบบทดสอบอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง

ที่มา : moe

การศึกษาในศตวรรษที่ 21 รร.ต้องร่างหลักสูตรให้เด็กเป็นผู้บริหาร

Print Friendly

โอกาสก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 สมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย (International School Association of Thailand : ISAT) ได้จัดงานดินเนอร์ ทอล์ค ฉลองครบรอบ 20 ปี ณ รร. เคมปินสกีสยาม โดยได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์ ดร.หยง เจา นักวิชาการด้านการศึกษาชาวจีน ผู้มีผลงานการศึกษาระดับโลก มาปาฐกถาในหัวข้อ เทรนด์การศึกษาในศตวรรษที่ 21

ดร.หยง เจา กล่าวถึงทรรศนะด้านเด็กของเขาว่า เด็กแต่ละคนมีพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน เด็กที่ครูเห็นพรสวรรค์ด้านใดด้านหนึ่ง จะมีความอยากรู้อยากเห็นไม่เหมือนกันและไม่หยุดนิ่ง นั่นคือการต่อยอดของการมีชีวิตรอด จะนำมาซึ่งความเก่ง แต่ทั้งนี้เด็กเก่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ ยกตัวอย่างในบ้านเกิดของเขาที่ประเทศจีนเองคนที่เก่งคือคนที่ขี่ควายได้ ไม่ใช่เรียนหนังสือเก่ง

ดร.หยง เจา ยังบอกอีกว่า การออกแบบหลักสูตรต้องตอบโจทย์ได้ว่าเด็กที่จบมาจะเป็นอย่างไร เพราะปัจจุบันมีสถิติของนศ.จบมาไม่มีงานทำสูงขึ้นทั่วโลก ในประเทศจีนในปี ค.ศ. 2012 มีนศ.ไม่ได้รับการจ้างงาน 570,000 คน เช่นเดียวกันในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2012 มี นศ.จบมหาวิทยาลัยไม่ได้รับการจ้างงาน 50%

อย่างไรก็ตามในโลกยุคต่อไปนี้จะเป็นโลกยุคดิจิตอลใช้อินเทอร์เน็ต การผลิตในภาคอุตสาหกรรมลดแรงงานคนหันมาใช้หุ่นยนต์ในภาคการผลิต เช่น อาชีพทนายความในสหรัฐมีงานน้อยลงเพราะคนเสาะหาข้อมูลข้อกฎหมายทางอินเทอร์เน็ตไปเจรจากับคู่กรณี แทนที่จะว่าจ้างทนายมาสู้คดี เพราะฉะนั้นจึงต้องเตรียมเด็กให้เป็นผู้บริหาร คุณสมบัติที่สำคัญของผู้บริหารคือต้องมีความมุ่งมั่น มีความรู้รอบ มีความคิดสร้างสรรค์ และประเมินความเสี่ยงเป็น ซึ่งต้องย้อนไปที่หลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน

“ที่สุดแล้วโลกไม่มีพรมแดนทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกัน การศึกษาของโลกตะวันตกและตะวันออกคือการศึกษานานาชาติ ดังนั้นการที่รร.นานาชาติจะนำหลักสูตรของแต่ละประเทศไปใช้ ต้องปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของประเทศของเขาด้วย เพราะเด็กไม่เหมือนกัน”

ดร.หยง เจา ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันความคิดสร้างสรรค์ของเด็กส่วนใหญ่ต่ำลงเมื่อโตขึ้น ในวัย 5 ขวบเด็กมีความคิดสร้างสรรค์ 80% แต่เมื่อโตขึ้น 8 ขวบ ความคิดสร้างสรรค์เหลือ 32% สาเหตุที่ความคิดสร้างสรรค์ลดลงมาจากโรงเรียน เพราะเด็กต้องทำตามคำสั่ง เช่น สั่งให้ทำการบ้าน สั่งให้อย่าคุย หยุดเล่น เมื่อวัดความคิดสร้างสรรค์ระหว่างเด็กเอเชียและเด็กในประเทศตะวันตก ปรากฏว่าเด็กเอเชียมีน้อยกว่า เพราะเด็กเอเชียชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่คิดว่าตัวเองมีดี

เด็กเอเชียยังขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง แม้จะทำคะแนนด้านวิชาการได้ดีกว่า เช่น การจัดอันดับการทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ปรากฏว่าเด็กเกาหลีทำคะแนนได้อันดับหนึ่ง รองลงมาคือสิงคโปร์ ฮ่องกง เด็กในอเมริกาทำคะแนนอยู่ในลำดับกลาง ๆ และเด็กอเมริกาหางานทำได้มากกว่า เพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงกว่า นำเสนอเป็น นำเสนอเก่ง

ดร.หยง เจาแนะวิธีสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็ก ต้องเริ่มจากผู้ใหญ่ ไม่ควรสั่งให้เด็กทำโน่นทำนี่ ทำได้เพียงชี้แนะแนวทาง ไม่ควรตัดสินใจแทนเด็ก บอกแค่ว่าจุดที่เหมาะสมอยู่ตรงไหน ครูต้องส่งเสริมข้อดีของเด็กด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กจะเกิดความเชื่อมั่นในตัวเองตามมา

อ.อุษา สมบูรณ์ นายกสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย (ISAT) กล่าวว่า ดร.หยง เจา เป็นผู้มีผลงานโดดเด่นโดยการออกแบบโรงเรียนที่สามารถสร้าง นร.ที่มีความสามารถระดับโลก พัฒนาเกมคอมพิวเตอร์สำหรับการศึกษาแนวใหม่ นอกจากนี้ยังมีบทความ ตีพิมพ์แล้วมากกว่า 100 เรื่อง และหนังสือมากกว่า 20 เล่ม ยัง ได้รับรางวัล Early Career Award จาก American Educational Research Association และได้รับการนำเสนอชื่อเป็นหนึ่งใน 10 ผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในแวดวงเทคโนโลยีด้านการศึกษาในปี ค.ศ. 2012 จากนิตยสาร Tech & Learn Magazine

ดร.หยง เจา เกิดในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน จบการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาภาษาอังกฤษ จากสถาบัน Sichuan Institue of Foreign Languages ในเมืองฉงชิง ประเทศจีน เมื่อปี ค.ศ. 1986

ปัจจุบัน ดร.หยง เจา ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการและประธานสถาบัน Global and Online Edaucation College of Education มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐ

โดย : พรประไพ เสือเขียว
ที่มา : moe

“กมล”รับครูใช้รองเท้าลูบหน้านักเรียนไม่เหมาะ – ครูระยอง


“กมล”รับครูใช้รองเท้าลูบหน้านักเรียนไม่เหมาะ

โรงเรียน - ครูระยอง

Print Friendly

ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เอารองเท้าลูบหน้าเด็กนักเรียนที่เข้าแถวเพื่อสวัสดี ซึ่งเจ้าของคลิปอ้างว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการอำลา และได้แสดงความไม่พอใจถึงการกระทำดังกล่าว พร้อมทั้งทวงถามหาจรรยาบรรณจากครูในคลิปด้วย ว่า สพฐ. ยอมรับว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่เหมาะสม ซึ่งผู้อำนวยการโรงเรียนได้เรียกครูที่ปรากฎในคลิปไปชี้แจง พร้อมทั้งว่ากล่าวตักเตือนแล้ว ขณะที่ครูคนดังกล่าวก็ยอมรับว่าทำเกินกว่าเหตุ และได้ขอโทษนักเรียนและผู้ปกครองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่มีใครติดใจเอาเรื่องเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการตกลงร่วมกับระหว่างครูกับนักเรียนเอง อย่างไรก็ตามตนขอฝากไปยังผู้บริหารและครูทุกโรงเรียนให้ระมัดระวังการกระทำพฤติกรรมใดๆก็ตามที่สุ่มเสี่ยงกระทบต่อหลักสิทธิมนุษยชนด้วย เพราะเวลานี้สื่อโซเชียลมีเดียมีการใช้แพร่หลาย และส่งต่อกันไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นการกระทำอะไรก็ตามต้องระวังและคิดให้รอบด้านมากขึ้น.

ที่มา : ผู้จัดการ

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

กมธ.ศึกษาฯ ชี้ 84 วันครูหายจากห้องเรียน แนะแก้กลไกพิเศษ

Print Friendly

ผู้สื่อข่าวรายงานในการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานา สปช.เป็นประธานการประชุม ได้รับทราบรายงานการพิจารณาของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เรื่องยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนามนุษย์

โดยมี นางประภาภัทร นิยม เลขานุการกรรมาธิการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ชี้แจงว่า จากสภาพการณ์ด้านการศึกษาของไทยที่ผ่านมา พบว่ายังขาดการวางระบบหรือกลไกความรับผิดชอบของผู้สอน และผู้เรียน รวมถึงสถาบันการศึกษา ซึ่งผลการสำรวจของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน (สสค.) ระบุว่า ในจำนวนวันเรียน 200 วัน ครูหายไปทำกิจกรรมอย่างอื่นประมาณ 84 วัน ทำให้ผู้เรียนไม่ได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่ ขณะที่ผู้เรียนก็ถูกเน้นให้เป็นผู้ถูกติวมากกว่าทักษะการเรียนอย่างเข้าใจ รวมถึงปัญหาสังคม เช่น ท้องวัยใส ปัญหายาเสพติด

ขณะเดียวกัน ปัญหาการศึกษาอาชีวะของไทยยังถูกมองข้ามไม่ให้ความสำคัญ หรือแม้แต่ผู้ที่จบการศึกษาแล้ว ยังพบว่าขาดทักษะที่เพียงพอต่อการทำงาน รวมไปถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในแวดวงการศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาการศึกษาของไทยในเชิงระบบ

นางประภาภัทร กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาเชิงประเด็น จากการสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) พบว่าประเทศไทย ใช้งบประมาณเป็นอันดับ 2 เพื่อการศึกษา แต่ไม่เกิดการพัฒนาด้านการศึกษา ซึ่งไทยกำลังเผชิญปัญหาที่ลึกกว่าปรากฎการณ์ในอดีต จึงต้องเร่งแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง ดังนั้น การแก้ปัญหาต้องแก้ไขที่โรงเรียนและห้องเรียนจะต้องไม่แออัด ให้มีจำนวนผู้เรียนแต่ละห้องเรียนที่เหมาะสม การสร้างครูที่มีศักดิ์ศรี มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครู และเป็นโรงเรียนบ่มเพาะเด็กเยาวชนได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่การจัดสรรบุคลากร การจัดการเรื่องงบประมาณ และด้านวิชาการ รวมถึงต้องส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ขณะที่แผนยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคนต้องรองรับความหลากหลายของอาชีพด้วย ทั้งนี้ความเป็นไปได้การปฏิรูประบบการศึกษาทั้งเชิงระบบและเชิงประเด็นนั้น สามารถทำได้ โดยให้มีกลไกพิเศษอยู่นอกระบบกระทรวงศึกษาธิการ โดยจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายศึกษาขับเคลื่อนมนุษย์ ภายใต้การกำกับของนายกรัฐมนตรีแทน

ด้านนายอมรวิชช์ นาครทรรพ กรรมาธิการฯ ชี้แจงว่าองค์กรส่วนท้องถิ่น ต้องมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษาให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยลดค่านิยมทางด้านการศึกษา สนับสนุนให้เด็กมาเรียนกับกลุ่มอาชีวะ ซึ่งขณะนี้ได้ตั้งหน่วยงานสภาการศึกษาระดับจังหวัดขึ้นแล้วกว่า 10 จังหวัด เพื่อพัฒนาระบบการศึกษาให้เข้มแข็ง ดังนั้น ครอบครัว ชุมชน องค์กรท้องถิ่นต้องมีการเตรียมความพร้อมและมีกลไกการปฏิรูปในระยะยาว เนื่องจากการศึกษาเป็นเรื่องจำเป็นของสังคมไทยและสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้

จากนั้นเปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น โดยนายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สปช. เห็นด้วยกับแนวทางการแก้ไขปัญหาห้องเรียนและผู้เรียน รวมถึงการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา รวมถึงต้องแก้ปัญหาเรื่องแป๊ะเจี๊ยะ และสนับสนุนงบประมาณการศึกษาเป็นรายหัว ลดการทดสอบ O-NET ให้ทดสอบเฉพาะสมรรถนะหลักของหลักสูตรเท่านั้น และห้ามนำผลงานของเด็กไปประกอบการประมินของผู้บริหาร และต้องให้ผู้เรียนเข้าถึงอุปกรณ์การศึกษามากขึ้น

ส่วนนายเฉลิมศักดิ์ อบสุวรรณ สปช. เสนอให้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการวางยุทธศาสตาร์การศึกษาชาติ เพื่อให้ได้บุคลากรของชาติที่มีคุณค่า และดึงองค์ความรู้จากปราชญ์ชาวบ้านมาช่วยในการสอนมากกว่ารองรับคุณวุฒิศาสตราจารย์ต่างๆ

อย่างไรก็ตาม หลังสมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวาง จึงถือว่าที่ประชุมได้รับทราบรายงานของ กมธ.ปฏิรูปการศึกษาฯ แล้ว และให้ กมธ.ฯ ไปศึกษาเพิ่มเติม เพื่อนำกลับมาเสนอต่อที่ประชุม สปช.อีกครั้ง จากนั้นปิดประชุมในเวลา 17:35 น.

ที่มา : สยามรัฐ

สำนักงาน ก.พ. ชี้แจง การปรับเงินเดือนข้าราชการ ในวันที่ 1 เมษายน 2558

ครูระยอง - เงินเดือน

Print Friendly

ตามที่ได้มีข่าวเกี่ยวกับการปรับเงินเดือนข้าราชการในวันที่ 1 เมษายน 2558 ระบุว่าสำนักงาน ก.พ. ได้มีหนังสือซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับ การประเมินผลการปฎิบัติราชการและการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญแจ้งกระทรวง กรมและจังหวัด ว่าการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ยังอยู่ในขั้นตอนการแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 และขอให้ส่วนราชการพิจารณาประเมินผลปฎิบัติราชการไปตามปกติ แต่ชะลอการสั่งเลือนเงินเดือนในวันที่ 1 เมษายน 2558 ไว้ก่อนนั้น

สำนักงาน ก.พ. ขอชี้แจงว่า หนังสือซักซ้อมฉบับดังกล่าว จัดทำขึ้นเพื่อชี้แจงส่วนราชการ ดังนี้

  1. ข้าราชการยังคงได้รับการปรับเงินเดือนร้อยละ 4 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 โดยมีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 และกฎหมายการปรับเงินเดือนข้าราชการดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการแก้ไขในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
  2. ขอให้ส่วนราชการชะลอการสั่งเลื่อนเงินเดือนข้าราชการในวันที่ 1 เมษายน 2558 ไปก่อน เนื่องจาก (1) งบประมาณสำหรับการเลื่อนเงินเดือนในวันที่ 1 เมษายน 2558 จะเพิ่มขึ้นตามเงินเดือนข้าราชการที่ได้รับการปรับเพิ่มร้อยละ 4 และ (2) ฐานในการคำนวณสำหรับการเลื่อนเงินเดือนในวันที่ 1 เมษายน 2558 จะปรับเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งสำนักงาน ก.พ. จะแจ้งฐานในการคำนวณใหม่ให้ทราบโดยเร็วต่อไป

ที่มา : สำนักงาน ก.พ.

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ศธ.เปิดฝึกงาน 7,000 อัตรา หารายได้ช่วงปิดเทอมใหญ่

การศึกษาไทย

Print Friendly

นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังเข้าสู่ช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ซึ่งนักเรียน นักศึกษาจะมีเวลาว่างหลายเดือน โดยเฉพาะนักศึกษาที่จะเปิดภาคเรียนในราวเดือน ส.ค. ดังนั้นศธ.จึงมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และมีรายได้ โดยการทำงานฝึกประสบการณ์ระหว่างปิดภาคเรียน ซึ่งที่ประชุมองค์กรหลักของ ศธ.ได้เห็นชอบในหลักการแล้ว และอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดขอบข่ายของงาน ส่วนค่าตอบแทนจะเป็นเท่าไหร่ นั้นจะมีการหารือกับกระทรวงการคลัง ซึ่งมีระเบียบค่าตอบแทนการฝึกประสบการณ์ระหว่างเรียนของนักเรียน นักศึกษาอยู่

“รมว.ศึกษาธิการ ได้เน้นย้ำว่างานที่จะให้เด็กทำนั้นต้องให้เด็กได้ฝึกทำงานที่มีความรับผิดชอบ และตรงกับความสนใจ สามารถพัฒนาทักษะการมีส่วนร่วมเพื่อให้รู้จักการทำงานเป็นทีมด้วย ไม่ใช่แค่ให้มานั่งเย็บกระดาษ ซึ่งขณะนี้ทุกองค์กรหลักได้สั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดให้เตรียมภาระงาน และตั้งงบประมาณค่าตอบแทนไว้รองรับแล้ว โดยคาดว่าหน่วยงานในสังกัด ศธ.ทั่วประเทศน่าจะสามารถรับนักเรียน นักศึกษาเข้าฝึกประสบการณ์ได้ไม่ต่ำกว่า 7,000 คน”

ปลัด ศธ.กล่าวและว่า ทั้งนี้คาดว่าจะมีการประกาศรับสมัครนักเรียน นักศึกษาที่สนใจเข้าฝึกประสบการณ์ภายในเดือน มี.ค. เพื่อจะได้เริ่มทำงานพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 เม.ย.58 นี้

ที่มา : สยามรัฐ

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ผลประชุม ก.ค.ศ. 3/2558 – ครูระยอง

Print Friendly

พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2558 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2558 ที่ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 อาคารราชวัลลภ

  • การนำหลักเกณฑ์และวิธีการได้มา การกำหนดคุณสมบัติอื่น วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของ “อนุกรรมการผู้แทน ก.ค.ศ./อนุกรรมการผู้แทนคุรุสภา/อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ/อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ใน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาทบทวนถึงการนำหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาฯ ของอนุกรรมการทั้ง 4 คณะ ที่ได้ใช้ในการดำเนินการสรรหา อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จำนวน 169 เขต มาใช้ในการสรรหาอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 42 เขต และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร

โดยที่ประชุมเห็นว่าควรยึดหลักเกณฑ์เดิม แต่ปรับรายละเอียดบางด้านให้ชัดเจนขึ้น โดยให้สำนักงาน ก.ค.ศ. ทำหนังสือแจ้งเวียนไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งประกาศลงเว็บไซต์ เพื่อกำชับให้เห็นถึงปัญหาที่พบจากการสรรหาอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาที่ผ่านมา เช่น ปัญหาการเสนอรายชื่อซ้ำซ้อนกัน หากต่อไปตรวจสอบพบภายหลัง จะให้ถือเป็นโมฆะ

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดวันเลือกตั้งอนุกรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 42 เขต และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ในวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2558 เวลา 9.00-15.00 น. โดยให้สำนักงาน ก.ค.ศ. ไปจัดทำปฏิทินการเลือกตั้งโดยเร็ว

  • รับทราบ ผลการดำเนินการให้ได้มาซึ่งอนุกรรมการผู้แทนคุรุสภาใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 169 เขต

จากการประชุม ก.ค.ศ.ครั้งที่ 12/2557 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2557 มีมติให้ชะลอการแต่งตั้งอนุกรรมการผู้แทนคุรุสภา เนื่องจากมีการร้องเรียน โดยมอบให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 19 มกราคม 2558

ต่อมาสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้ขอขยายเวลาการแจ้งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการดำเนินการได้มาของอนุกรรมการผู้แทนคุรุสภา ใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จำนวน 169 เขต ออกไปอีก 30 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2558

ในการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ครั้งที่ 1/2558 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2558 ได้พิจารณาผลการสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณีขาดความไม่โปร่งใสในกระบวนการและขั้นต้นการดำเนินการให้ได้มาซึ่งอนุกรรมการผู้แทนคุรุสภาใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาของคุรุสภา จำนวน 169 เขต แล้ว มีความเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการคัดเลือกผู้แทนคุรุสภาดังกล่าว เป็นไปตามหลักความเป็นกลางตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มีมติดังนี้

  1. ให้ยกเลิกการดำเนินการคัดเลือกผู้แทนคุรุสภาใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาของคุรุสภา ตามบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้แทนคุรุสภาใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาของคุรุสภา จำนวน 169 เขต และให้ดำเนินการคัดเลือกบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อจากคณะกรรมการคุรุสภาและบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนดใหม่
  2. มอบหมายให้ นายนิวัตร นาคะเวช และนายเพิ่มสิน เฉยศิริ กรรมการคุรุสภา เป็นอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเฉพาะกิจฯ แทนนายวินัย เบนสุภา และนายเสรี แสงทองเขียว

ล่าสุด จากการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ครั้งที่ 2/2558 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 ได้มีมติเห็นชอบผลการคัดเลือกผู้แทนคุรุสภาใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จำนวน 169 เขตแล้ว ดังนั้นสำนักงาน ก.ค.ศ. จะนำรายชื่อเสนอต่อ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเฉพาะกิจฯ เพื่อพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อจากเขตพื้นที่การศึกษาละ 4 คน ให้เหลือเขตพื้นที่การศึกษาละ 1 คน เพื่อเสนอ ก.ค.ศ. พิจารณาตั้งเป็นอนุกรรมการผู้แทนคุรุสภาใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาต่อไป ในการประชุมนัดพิเศษ วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2558

  • อนุมัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ 10 ราย

1) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 9 ราย
โดยอนุมัติตามหลักเกณฑ์ ว13/2556 จำนวน 8 ราย ได้แก่
– นายอารินทร์ โพธิ์สวรรค์ ผอ.โรงเรียนบ้านวังกระแจะ สพป.กาญจนบุรี เขต 3
– นายประยูร สุธาบูรณ์ ผอ.โรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี สพม.เขต 8
– นายสมใจ วิเศษทักษิณ ผอ.โรงเรียนจตุรมิตรวิทยาคาร จังหวัดขอนแก่น สพม.เขต 25
– นายเรืองยศ แวดล้อม ผอ.โรงเรียนบัวใหญ่พิทยาคม จังหวัดขอนแก่น สพม.เขต 25
– นายวีรเดช ซาตา ผอ.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จังหวัดขอนแก่น สพม.เขต 25
– นายนพรัตน์ รุ่งโรจน์ ผอ.โรงเรียนอนุบาลวัดคลองใหญ่ สพป.ตราด
– นายศุภฤต ดิษฐสุวรรณ ผอ.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ สพม.เขต 2
– นายสุรทิน ทิพย์อักษร ผอ.โรงเรียนบ้านลำหัก สพป.นครศรีธรรมราช เขต 3
โดยอนุมัติตามหลักเกณฑ์ ว17/2552 จำนวน 1 ราย ได้แก่
– นางนิตยา พิมพ์โคตร ตำแหน่งครู โรงเรียนบ้านเชียงอาด สพป.หนองคาย เขต 2

2) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 1 ราย
โดยอนุมัติตามหลักเกณฑ์ ว17/2552 ได้แก่ นางจิตราพร กาญจนพิบูลย์ ตำแหน่งครู วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี

  • อนุมัติตั้งอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา แทนตำแหน่งที่ว่าง

1) นายอรรถ เจะบือราเฮง เป็นอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ใน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 (นราธิวาส ปัตตานี และยะลา)
2) นายสนิท สนธิพันธ์ เป็นอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1

  • อนุมัติตั้งประธาน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเฉพาะกิจฯ ประเมิน พ.ต.ก.

ที่ประชุมอนุมัติตั้ง นายกิตติรัตน์ มังคละคีรี เป็นประธานอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเฉพาะกิจเกี่ยวกับประเมินความรู้ ความสามารถ ของบุคคลเพื่อให้ได้รับ พ.ต.ก. สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แทนนายกิจสุวัฒน์ หงส์เจริญ ประธานอนุกรรมการคนเดิม ซึ่งลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากได้รับคัดเลือกให้เป็นกรรมการใน ก.พ.ค.

  • อนุมัติตั้งกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์ฯ

ที่ประชุมอนุมัติตั้ง นายพันธุ์ศักดิ์ โรจนากาศ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ก.ค.ศ. เป็นกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และร้องทุกข์ แทนตำแหน่งว่าง ส่วนประธาน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และร้องทุกข์ จะพิจารณาในการประชุม ก.ค.ศ.ครั้งต่อไป

โดย : ดรุวรรณ บุญมาก, บัลลังก์ โรหิตเสถียร
ที่มา : moe

คุรุสภาเผยร้องเรียนครูคดีชู้สาวมากสุด

Print Friendly

ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานกรรมการคุรุสภา เปิดเผยว่า สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้ก่อตั้งครบรอบ 70 ปีแล้ว และขณะนี้มีผู้ให้ความสนใจมาเรียนครูเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการทำงานก้าวต่อไปของคุรุสภาในปี 2558 จะทำงานเชิงรุกมากขึ้น ไม่ใช่คอยตั้งรับปัญหาเหมือนที่ผ่านมา ตลอดจนหารูปแบบวิธีการสอนสำหรับครูยุคใหม่ เพื่อส่งเสริมให้ครูได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กให้ดีขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ตนได้ย้ำกับผู้แทนคุรุสภา ว่า ต้องให้ความสำคัญกับกิจกรรมของครูและเด็ก รวมถึงให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภานำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาวิชาชีพครู

ประธานกรรมการคุรุสภา กล่าวต่อไปว่า คุรุสภาจะดำเนินการเรื่องวินัยและจรรณยาบรรณวิชาชีพครูให้เข้มข้นมากขึ้น ซึ่งในเร็วๆนี้ คุรุสภาจะจัดโครงการคุรุคุณธรรมขึ้น โดยให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาคัดเลือกครูมาฝึกอบรมพัฒนายกระดับจรรยาบรรณวิชาชีพ ขณะเดียวกันคุรุสภาจะประมวลเหตุการณ์พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของครูให้เป็นกรณีศึกษาด้วย เช่น คนที่ไม่มีอนุญาตประกอบวิชาชีพครู แต่มาทำหน้าที่การสอน โดยไม่แจ้งให้คุรุสภารับทราบ หรือ ผู้บริหารโรงเรียนทำเรื่องทุจริต เป็นต้น เพื่อจะทำให้ครูได้ตระหนักรู้ผิดชอบ ชั่วดี ไม่หลงผิด ไม่ทำให้วิชาชีพของตนเองต้องมัวหมอง

ศ.ดร.ไพฑูรย์ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการพิจารณาการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพครู ในปี 2557 พบว่า มีกรณีพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ของข้าราชการครู 3 เรื่อง ได้แก่ ครูทำร้ายร่างกายนักเรียนด้วยการใช้มือตบบริเวณปาก ไม่มีบาดแผล ให้พักใช้ใบอนุญาตฯ 3 เดือน , ครูทำร้ายร่างกายนักเรียนด้วยการบิดใบหูเป็นรอยแดงช้ำ ให้พักใช้ใบอนุญาตฯ1 เดือน และ ครูใช้ไม้ตีมือนักเรียน จำนวน 79 ที เป็นรอยแดงช้ำ ให้พักใช้ใบอนุญาตฯ3 เดือน และกรณีเพิกถอนใบอนุญาตฯ ข้าราชการครู 2 เรื่อง ได้แก่

  1. ครูชายอนาจารนักเรียนหญิงด้วยการจับอวัยวะเพศ
  2. ครูลักขโมยเงินวัด ในการไปปฏิบัติหน้าที่ด้านการเงินให้วัดในงานฝังลูกนิมิต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องร้องเรียนตรวจสอบถึงพฤติกรรมข้าราชการครู จำนวน 24 เรื่อง โดยเป็นเรื่องชู้สาว 8 กรณี

  1. ครูมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและดื่มสุรา
  2. ครูมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวดื่มสุราและทะเลาะวิวาท
  3. ศึกษานิเทศก์ถูกกล่าวโทษกรณีชู้สาวและกู้ยืมเงินไม่ชำระหนี้
  4. ครูบุกรุกเคหะสถาน ใช้คำพูดในทำนองชู้สาว
  5. ครูกระทำอนาจารเด็กนักเรียน
  6. ครูข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น
  7. ครูมีความสัมพันธ์ส่อในทางชู้สาว
  8. ครูมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งนี้ พบพฤติกรรมครูค้ายาเสพติด ชิงทรัพย์ และทำร้ายร่างกายผู้อื่น และฉ้อโกงทรัพย์สินของผู้อื่น

ที่มา : เดลินิวส์

Our partners from Mexico:
Productos de salud
Carlos Torre