นายกฯสั่งวธ.-ศธ.ทำหนังสือประวัติชาติไทย ให้เด็ก-เยาวชน-ประชาชนเรียนรูวัติศาสตร์

โรงเรียน - ครูระยอง

Print Friendly

นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่า จากกรณีที่ กระทรวงวัฒนธรรม มอบหนังสือนามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย 20 เล่ม ให้นายกรัฐมนตรี โดยหนังสือดังกล่าวกระทรวงวัฒนธรรม ได้ร่วมกับ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา (ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี) จัดพิมพ์หนังสือดังกล่าว ขึ้น เพื่อเผยแพร่ พระราชประวัติพระเกียรติคุณและ พระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ นั้น

นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกันจัดทำคู่มือประวัติศาสตร์ชาติไทยสำหรับเด็กๆ ในระดับประถม ระดับมัธยม ระดับอุดมศึกษา นักศึกษาต่างประเทศและประชาชนทั่วไป โดยให้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ พระมหากษัตริย์ไทยในทุกพระองค์ ทรงทำคุณประโยชน์ใดไว้ในแผ่นดิน ตั้งแต่สร้างชาติ สู้รบและสู้ความยากจน ความเป็นมาของประเทศไทย วัฒนธรรมประเพณีของไทย

นายวีระกล่าวว่า ในส่วนของกระทรวง วัฒนธรรม มอบหมายให้กรมศิลปากร ไปดำเนินการเรื่องดังกล่าว โดยหลังจากนี้ ต้องไปหารือกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ถึงแนวทางและการดำเนินการ เรื่องดังกล่าวร่วมกันในการจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทยให้เด็ก เยาวชนและประชาชนทั่วไป ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติ ซึ่งการดำเนินการ เรื่องนี้ทั้งสองกระทรวงจะต้องร่วมมือกัน อาจจะต้องจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อให้ การดำเนินการเรื่องนี้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็ว และ การจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทยในส่วนของเด็ก และเยาวชน ก็จะต้องใช้วิธีการเขียนที่อ่านแล้วสนุก น่าสนใจ ไม่น่าเบื่อ รวมถึง มีภาพประกอบสวยงาม ที่สำคัญ ในส่วนของระดับประถมศึกษาอาจจะจัดทำหนังสือในรูปแบบการ์ตูน เพื่อดึงดูดความน่าสนใจจากเด็กและเยาวชน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกระทรวง ได้ประชุมหารือกับกรมศิลปากรไปแล้วได้ข้อสรุปว่า การจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทยจะต้องเป็นหนังสือที่น่าสนใจ อ่านง่าย ที่สำคัญเด็กๆ ทั้งในระดับประถม ระดับมัธยม ระดับอุดมศึกษา นักศึกษาต่างประเทศและประชาชนทั่วไป อ่านแล้วเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์มากขึ้น

ที่มา : moe

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

สะกิดครูสอนเต็มที่อย่ากั๊กเพื่อกวดวิชา

โรงเรียน - ครูระยอง

Print Friendly

รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในโอกาสเดินทางไปพบปะและมอบนโยบายผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ว่า ขอให้ผู้บริหาร สช.ยึดหลัก 4 S ในการทำงาน S ที่ 1 Service Mind S ที่ 2 Speed S ที่ 3 Smart และ S ที่ 4 Systematically เพื่อให้งานเกิดการพัฒนาและมีคุณภาพ ทั้งขอเน้นย้ำการปฏิบัติงานต้องไม่มีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด

ส่วนโรงเรียนเอกชนที่มีค่าเล่าเรียนค่อนข้างสูง ขอฝากให้ สช.ดูแลตามนโยบาย ไม่ให้มีการเก็บค่าเล่าเรียนเกินกว่าที่กฎหมายโรงเรียนเอกชนกำหนด เช่นเดียวกับในส่วนของโรงเรียนกวดวิชา โดยเฉพาะที่มีข้อครหาว่าครูไม่ทำการสอนในชั้นเรียนให้เต็มที่ แล้วออกมาเปิดโรงเรียนกวดวิชา จะมีการออกกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ครูที่ทำการเปิดสอนโรงเรียนกวดวิชา ทำการสอนในช่วงเวลาเรียนให้เต็มที่ ส่วนปัญหาเด็กทะเลาะวิวาทจนเสียชีวิต ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่นั้นก็ต้องมีการช่วยกันดูแล และเชื่อว่าในอนาคตหากทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยดูแลจะสามารถแก้ปัญหาการทะเลาะวิวาทได้

“ขณะนี้ผมมีแนวคิดในการดึงจุดเด่นของอาชีวศึกษาออกมา โดยพยายามสร้างอาชีวะสีขาว คือ มีการจัดเด็กเป็นกลุ่มๆ เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนอาชีวศึกษา แล้วให้สถานประกอบการเข้ามาช่วยดูแล ในขณะที่โรงเรียนและ สช.จะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้ ซึ่งเด็กเหล่านี้จะได้เรียนอย่างจริงจังและได้ลงมือปฏิบัติจริง เมื่อจบออกไปทำงานในสถานประกอบการจะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเราดำเนินการในจุดนี้ได้ก็จะมีเด็กเข้ามาเรียนอาชีวะเพิ่มมากขึ้น เพราะจบแล้วได้งานทำทันที การดำเนินการในลักษณะนี้จะเป็นเกราะคุ้มกันไม่ให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้นได้” ปลัด ศธ.กล่าวและว่า สำหรับการรวมอาชีวศึกษาเอกชนกับอาชีวศึกษาของรัฐเพื่อพัฒนาไปสู่ระบบและมาตรฐานเดียวกันนั้น ในหลักการผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นชอบตรงกันแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียด.

ที่มา : ไทยรัฐ

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

สอศ.ของบแปรฯ พันล้าน จ้างครู-พนักงานราชการเพิ่ม – ครูระยอง

Print Friendly

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2559 จำนวน 22,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2558 ที่ได้รับ 20,952 ล้านบาท จำนวน 1,471 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 7.02% ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมากที่สุดในรอบ 7 ปีของ สอศ.และเมื่อจำแนกงบฯที่ได้รับ เป็นงบฯบุคลากร 43% เงินอุดหนุนรายหัว 24% งบฯดำเนินงาน 15% งบฯลงทุน 11% และงบฯรายจ่ายอื่นๆ 7% อย่างไรก็ตาม หากดูในรายการงบฯ ที่ได้แล้วยังไม่เพียงพอ

เนื่องจากในปีการศึกษา 2558 มีนักเรียนระดับ ปวช.เพิ่มขึ้นจากปีการศึกษา 2557 ประมาณ 20,000 คน รวมถึงหลักสูตรระยะสั้น ต้องจ้างครูเพิ่มขึ้น และต้องดูแลผู้เรียนทุกระดับไม่ให้ออกกลางคัน ซึ่งต้องใช้งบฯ กว่า 31 ล้านบาท ดังนั้นงบฯ เงินอุดหนุนรายหัวที่ตั้งไว้ 24% จึงไม่เพียงพอ ทั้งนี้ยังไม่รวมการรับนักเรียนโครงการเรียนร่วมอาชีวะ+ม.ปลาย (ทวิศึกษา) อีก 30,000 คน ดังนั้น สอศ.จะขอแปรญัตติงบฯปี 2559 เพิ่มเติม

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการที่จะเสนอขอแปรญัตติงบฯ เพิ่ม อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียด อาทิ เงินอุดหนุนรายหัวในวิทยาลัยสังกัด สอศ.ที่ยังขาดอยู่ 80 ล้านบาท เงินอุดหนุนในโครงการทวิศึกษา 120 ล้านบาท ขอจ้างครูและบุคลากรธุรการ 87 ล้านบาท และแก้ปัญหาขาดแคลนครูและบุคลากรขั้นวิกฤติ 1,610 ล้านบาท โดยส่วนนี้จะเสนอขอกรอบพนักงานราชการจำนวน 7,455 คน เป็นต้น โดยจะสรุปการขอแปรญัตติงบฯเสนอต่อ รมว.ศึกษาธิการ ในวันที่ 10 ก.ค.58 นี้ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

อย่างไรก็ดี ครม.เคยมีข้อเสนอแนะถึงกรอบอัตรากำลังควรพิจารณาให้วิทยาลัยที่ขาดแคลนบุคลากรขั้นวิกฤติเกิน 70% แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่าไม่เหมาะสม ควรพิจารณาจากสาขาวิชาที่ขาดแคลนเป็นตัวตั้ง ดังนั้น สอศ.จึงมาจัดทำให้สอดคล้องและนำเสนออีกครั้ง

ที่มา : สยามรัฐ

สมศ.ชำแหละ 10 ปัญหาการศึกษาไทย – ครูระยอง

Print Friendly

ศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. กล่าวว่า จากผลการประเมินคุณภาพภายนอก 3 รอบ ระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมาของ สมศ. พบว่ามี 10 ปัญหาหลักที่เป็นตัวฉุดรั้งการศึกษาไทย ได้แก่

  1. ปัญหาการอ่านและการเขียน
  2. ผลสัมฤทธิ์การเรียนอยู่ในระดับต่ำ
  3. ผู้เรียนขาดทักษะในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณและคิดสร้างสรรค์
  4. ผู้เรียนขาดทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
  5. สถานศึกษาขาดแคลนสื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์การเรียน
  6. ครูไม่ครบชั้น
  7. ครูยังไม่สามารถกระตุ้นผู้เรียนให้รู้จักคิดวิเคราะห์ คิดแก้ปัญหาและตัดสินใจ
  8. สถานศึกษาขาดการบริหารข้อมูลสารสนเทศที่มีคุณภาพ
  9. สถานศึกษาขาดการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ สนับสนุนที่เข้มแข็งและต่อเนื่องจากหน่วยงานต้นสังกัด
  10. ขาดการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ

เป็นผลให้ส่วนใหญ่ไม่ได้นำผลการประกันคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอกมาใช้ปรับปรุงพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา

สมศ.จึงได้ริเริ่มโครงการ “1 ช่วย 9” โดยสถานศึกษาที่มีผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เป็นแกนนำช่วยพัฒนาสถานศึกษาเครือข่ายที่ผลการประเมินต่ำกว่าระดับดีมาก ให้มีพัฒนาการของค่าเฉลี่ยผลการประเมินคุณภาพภายนอกดีขึ้นอย่างน้อย 9 แห่งต่อ 1 หน่วยงาน โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 มีสถานศึกษาแกนนำจำนวน 207 แห่ง มีสถานศึกษาเครือข่าย 1,863 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการพัฒนาร่วมกับสถานศึกษาเครือข่าย คาดว่าจะมีสถานศึกษาเครือข่ายเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 3,000 แห่ง

อย่างไรก็ตาม จากผลการดำเนินงานของโครงการ “1 ช่วย 9” ในระยะแรก พบว่า สถานศึกษาเครือข่ายมีพัฒนาการของค่าเฉลี่ยผลการประเมินคุณภาพภายนอกดีขึ้น คิดเป็นร้อยละ 93.10 สถานศึกษาแกนนำและสถานศึกษาเครือข่ายมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในรูปแบบเครือข่าย คิดเป็นร้อยละ 92.10 ผู้บริหารครู/อาจารย์และบุคลากรเห็นคุณค่าของการช่วยเหลือร่วมกันพัฒนาคุณภาพและยกระดับมาตรฐานการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 90.30 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษามากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 88.90 และสถานศึกษาเกิดวัฒนธรรมคุณภาพ และนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกมาใช้ในการขับเคลื่อนคุณภาพอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นร้อยละ 88.90 ตามลำดับ

ที่มา : moe

“บิ๊กตู่”สั่ง ขรก.อย่าตีมึน เร่งเบิกจ่ายงบภายในก.ค. ก่อนใช้อำนาจ เอาเงินคืนให้หมด!

ครูระยอง-การเบิกจ่ายเงิน

Print Friendly

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวในรายการคืนความสุขเพื่อประชาชน ถึงหน่วยงานราชการให้เร่งเบิกจ่ายงบเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในเดือนกรกฏาคม หากใช้ไม่หมดจะเอาคืนทั้งหมด

“..ในเรื่องของการงบประมาณของข้าราชการนะ ขออีกทีนะ ช่วยไปดูหน่อย ทุกกระทรวงน่ะ งบประมาณ ไตรมาส 1-2-3 นี่ ครึ่งปีแรก 1-2 นี่ ออกไปแล้วนะ งบประมาณออกไปแล้ว จัดการใช้จ่ายนี่ยังขยับได้ในถึงขั้นการเบิกงบประมาณนี่ค่อนข้างที่จะมีปัญหาอยู่นะ ผมไม่ทราบติดขัดตรงไหนนะ ไม่งั้นเราก็เป็นกังวลเพราะงบของราชการนี่เป็นงบส่วนหนึ่งที่จะไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผมบอกไว้แล้วว่าภายในกรกฎา นี่ ท่านใช้ไม่ได้ผมเอากลับมาหมด เอามาใช้อย่างอื่น ที่เป็นความเดือดร้อน งบทุกกระทรวงนะ เพราะสั่งแล้วหลายครั้งแล้ว ไปหาทางถ้าไม่ได้ ก็ไม่ได้ ผมก็ไม่ผ่อนผันให้เหมือนกัน เดี๋ยวจะให้เอากลับมาให้หมด ไม่อยากใช้อำนาจ แต่ต้องใช้เพราะว่าผมก็ไม่มีสตางค์เหมือนกัน ถ้าให้ไปใช้แล้วใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ถูก ก็ต้องเอามาใช้ใหม่ เพราะงั้นอย่าไปปลุกระดมกันอีกต่อไปนะครับ ข้าราชการก็ต้องร่วมมือ มีเวลานี้เท่านั้นนะที่ประเทศชาติจะเดินหน้าไปให้ได้นะครับ ..”

ที่มา : มติชน

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

กำหนดการสอบ O-NET ประจำปีการศึกษา 2558

Print Friendly

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การกำหนดวิชาในการสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2558 ซึ่งได้ปรับลดการสอบจาก 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ เหลือ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2558 เป็นต้นไปนั้น ขณะนี้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. ได้กำหนดแนวทางดำเนินการต่อเนื่องในเรื่องดังกล่าว ดังนี้

แจ้งประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การกำหนดวิชาในการสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ไปยังหน่วยงานต้นสังกัด ทั้งหมด 4 กระทรวง/เทียบเท่า จำนวน 10 หน่วยงาน เพื่อประชาสัมพันธ์ไปยังสถานศึกษาที่มีนักเรียนเข้าสอบ และผู้เกี่ยวข้องได้ทราบและปฏิบัติตามประกาศ คือ

  1.  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
  2. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
  3. สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
  4. สถาบันการพลศึกษา
  5. กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  6. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  7. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
  8. สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร
  9. สำนักการศึกษาเมืองพัทยา
  10. ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย

จัดประชุมชี้แจงศูนย์สอบ O-NET ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่บริหารการทดสอบ O-NET ให้เป็นตามมาตรฐานการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติโดยเฉพาะเกี่ยวกับความโปร่งใสและยุติธรรม โดยศูนย์สอบดังกล่าวประกอบด้วยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัด สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร และสำนักการศึกษาเมืองพัทยา รวมทั้งสิ้น 308 ศูนย์ และมีกำหนดชี้แจงศูนย์สอบ O-NET ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ จำนวน 19 แห่ง ในเดือนพฤศจิกายน 2558

ประชาสัมพันธ์การสอบ O-NET ปีการศึกษา 2558 ผ่านเว็บไซต์ สทศ. (www.niets.or.th) และจะส่งแผ่นพับประชาสัมพันธ์การสอบไปยังสถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

กำหนดการสอบ 

ที่ การสอบ วันส่งข้อมูล/วันสมัคร วันสอบ วันประกาศผลสอบ
1 O-NET ป.6 1 กรกฎาคม –
31 สิงหาคม 2558
27 กุมภาพันธ์ 2559 28 มีนาคม 2559
2 O-NET ม.3 1 กรกฎาคม –
31 สิงหาคม 2558
27-28 กุมภาพันธ์ 2559 29 มีนาคม 2559
3 O-NET ม.6 1 กรกฎาคม –
31 สิงหาคม 2558
6-7 กุมภาพันธ์ 2559 21 มีนาคม 2559
  •  ตารางสอบ

– การทดสอบ O-NET ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2558 (แบบทดสอบจำนวน 5 ฉบับ)

วันสอบ เวลา รหัสวิชา วิชา เวลาสอบ
เสาร์ 27 กุมภาพันธ์ 2559 9.00-9.50 น. 64 คณิตศาสตร์ 50 นาที
  10.20-11.10 น. 61 ภาษาไทย 50 นาที
  12.30-13.20 น. 65 วิทยาศาสตร์ 50 นาที
  13.50-14.40 น. 62 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 50 นาที
  15.10-16.00 น. 63 ภาษาอังกฤษ 50 นาที
สถานศึกษาดูผลได้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2558 ที่เว็บไซต์ สทศ.

– การทดสอบ O-NET ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2558 (แบบทดสอบจำนวน 5 ฉบับ)

วันสอบ เวลา รหัสวิชา วิชา เวลาสอบ
เสาร์ 27 กุมภาพันธ์ 2559 9.00-10.30 น. 94 คณิตศาสตร์ 90 นาที
  11.00-12.30 น. 91 ภาษาไทย 90 นาที
  14.00-15.30 น. 93 ภาษาอังกฤษ 90 นาที
อาทิตย์ 28 กุมภาพันธ์ 2559 9.00-10.30 น. 95 วิทยาศาสตร์ 90 นาที
  11.00-12.30 น. 92 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 90 นาที
สถานศึกษาดูผลได้ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2558 ที่เว็บไซต์ สทศ.

– การทดสอบ O-NET ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2558 (แบบทดสอบจำนวน 5 ฉบับ)

วันสอบ เวลา รหัสวิชา วิชา เวลาสอบ
เสาร์ 6 กุมภาพันธ์ 2559 8.30-10.30 น. 02 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 120 นาที
  11.30-13.30 น. 04 คณิตศาสตร์ 120 นาที
  14.30-16.30 น. 03 ภาษาอังกฤษ 120 นาที
อาทิตย์ 7 กุมภาพันธ์ 2559 8.30-10.30 น. 01 ภาษาไทย 120 นาที
  11.30-13.30 น. 05 วิทยาศาสตร์ 120 นาที
สถานศึกษาดูผลได้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2558 ที่เว็บไซต์ สทศ.

ข้อมูลจำนวนผู้เข้าสอบในปีการศึกษา 2558 เนื่องจากระบบการส่งข้อมูลของผู้เข้าสอบ จะเปิดให้สถานศึกษาดำเนินการส่งข้อมูลนักเรียนในแต่ละระดับชั้น ผ่านระบบ O-NET / www.niets.or.th ผ่านเว็บไซต์ของ สทศ.ในระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม-31 สิงหาคม 2558

ที่มา : ครูบ้านนอก

เล่นหมากล้อมฝึกระบบคิด พัฒนาทักษะ-ศักยภาพคน

Print Friendly

 “ตั้งแต่เล่นหมากล้อมมา ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเองหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเป็นคนนิ่ง มีสมาธิ มีสติในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า มีความรอบคอบ และรู้จักการวางแผนมากขึ้น  เน้นเข้าร่วมการแข่งขันในหลายๆ ที่ ทำให้ได้ลองสนามแข่ง แล้วยังทำให้เจอคู่ซ้อม คู่แข่งที่หลากหลาย ทำให้ต้องรู้จักวางแผน ปรับกลยุทธ์ ปรับแนวคิดใหม่ๆ เพื่อให้ชนะ ส่วนใหญ่จะฝึกซ้อมเล่นบนอินเทอร์เน็ต การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย มีการจ้างโค้ชมาฝึกสอนกับเพื่อนร่วมทีม” ภูมิใจ ฉัตรไมตรี หรือ น้องสมาย นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

หมากล้อม ภาพจาก thongkasem.com

หมากล้อม ภาพจาก thongkasem.com

                     “น้องสมาย” วัย 19 ปี เล่นหมากล้อมอย่างจริงจังตั้งแต่ ม.5 เล่าว่า เขารู้จักกีฬาหมากล้อมมาตั้งแต่เด็กๆ คุณพ่ออยากให้ลองเล่นดู เพราะน่าจะช่วยเรื่องการเรียน ระบบการคิด การวางแผนต่างๆ ได้ ก็ลองเล่นมาเรื่อยๆ เมื่อขึ้น ม.5 ก็ได้เป็นประธานชมรมหมากล้อมของโรงเรียน ทำให้เล่นอย่างจริงจัง ยิ่งเมื่อได้ย้ายบ้านมาอยู่แถวสมาคมกีฬาหมากล้อมฯ ก็ทำให้ได้ฝึกฝนและจริงจัง

                     วันที่ 8 กุมภาพันธ์-26 เมษายน 2557 “สมาย” จะแข่งขันหมากล้อม ที่ชั้น 11 ซีพี ทาวเวอร์ ซึ่งมีนักกีฬาจากประเทศไทยและในเอเชีย เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 27 ทีม (ทีมละ 5 คน)จากประเทศไทย จำนวน 20 ทีม และจากต่างประเทศ 7 ทีม ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน รวมมีผู้เข้าร่วมแข่งขัน 135 คน โดยแข่งทุกวันเสาร์ ส่วนนักกีฬาจากต่างจังหวัดและต่างชาติจะจัดแข่งขันทางออนไลน์ เพื่อชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1.6 ล้านบาท

                     การแข่งขันครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของ “สมาย” ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเป็นพิเศษ เพราะทุกๆ วันก็เตรียมพร้อม ฝึกฝนอยู่เสมอ และคอยหารูปแบบวิธีการเล่นใหม่ๆ อยู่แล้ว เทคนิคในการเล่นต้องอาศัยความนิ่ง ใจเย็น มีสติ ความรอบคอบ ที่สำคัญเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ต้องใช้ตรรกศาสตร์ค่อนข้างมาก และการเล่นหมากล้อมก็เป็นเหมือนฝึกการใช้ตรรกะอยู่แล้วก็ทำไปปรับใช้ได้ จึงอยากให้สมาคมกีฬาหมากล้อมฯ จัดกิจกรรมการแข่งขันแบบนี้ไปตลอด เพื่อส่งเสริมให้เด็กไทยมาเล่นหมากล้อม เปิดโอกาส เวทีให้ได้เด็กไทยฝึกฝนทักษะ พัฒนาศักยภาพของตนเอง

                     เช่นเดียวกับ “ตูน” ภัทราพร อรุณไพจิตรา อายุ 26 ปี หนึ่งสาวที่เข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้ และปีที่แล้วได้รับรางวัลทีมคนไทยที่ได้อันดับดีที่สุด เล่าเสริมว่า การแข่งขันหมากล้อม มีความสำคัญต่อนักกีฬาหมากล้อมมาก เพราะแต่ละสนามไม่เหมือนกัน คู่แข่งแตกต่างกัน ทำให้ฝึกระบบคิด วางแผน ทักษะต่างๆ ที่พัฒนาสติปัญญาผู้เล่นได้เป็นอย่างดี เล่นหมากล้อมมา 12 ปี เล่นตั้งแต่เรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ เปิดเป็นคาบเรียนให้เด็กได้เรียน จนถึงตอนนี้ ไม่มีเกมไหนที่ซ้ำกัน

                     “ประโยชน์ที่ได้จากการเล่นหมากล้อมทำให้ได้เพื่อน ได้สังคม ช่วยให้มีความคิดที่เป็นระบบ มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะการคิดบนกระดาษก็เหมือนการคิดในชีวิตจริง ที่ต้องรอบคอบ มีการวางแผนที่ดี และเรียนรู้ เวลาเราจะทำอะไร เราต้องคิดวางแผนไว้เยอะๆ หาทางหนีทีไล่เอาไว้ ยิ่งเราวางแผนมากเท่าไหร่ ก็จะมีผลดีต่อตัวเรามากเท่านั้น กิจกรรมการแข่งขันกีฬาหมากล้อม ไทยแลนด์ 16 ดั้ง โกะ ลีก 2014 เป็นกิจกรรมที่ดีมาก อยากให้จัดไปเรื่อยๆ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้เข้าร่วมแข่งขัน ได้รับโอกาส ประสบการณ์ เทคนิคใหม่ๆ จากการเล่น”

                     “ตูน” และสมาชิกในทีม ได้ร่วมกันฝึกซ้อมโดยได้เรียนกับมืออาชีพ ฝึกซ้อมกันเองทางอินเทอร์เน็ต และเล่นกันเอง ไม่ได้แบ่งประเภทในการเล่นหญิงหรือชาย ตูน เริ่มจากการซื้อหนังสือมาอ่าน ฝึกฝนเล่นด้วยตนเอง จนทำให้ก้าวขึ้นสู่ดั้ง 3

                     ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ นายกสมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทยและประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวว่า สมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทยพยายามส่งเสริม สนับสนุนให้เด็กไทยหันมาเล่นหมากล้อม และพัฒนาฝีมือ ผ่านกิจกรรมการแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ผ่านมาผลงานเด็กไทยอยู่ในระดับดี ชนะเลิศในการแข่งขันหลายแห่ง เมื่อเทียบประเทศไทยเล่นหมากล้อมมา 20 ปี มีผู้เล่นประมาณ 1 ล้านคน ขณะที่เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมนี เล่นมาหลายร้อยปี ถือว่านักกีฬาหมากล้อมของเราไม่ด้อยมีศักยภาพไม่เป็นรองใคร การแข่งขันครั้งนี้ สมาคมกีฬาหมากล้อมฯ พร้อมสนับสนุน และเป็นหนึ่งในนโยบายส่งเสริมการศึกษาพัฒนาเยาวชนของซีพี ออลล์ เพื่อให้ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางของการแข่งขันกีฬาหมากล้อมที่สำคัญในทวีปเอเชียอย่างน่าภาคภูมิใจ สนใจเข้าร่วมชมการแข่งขัน สอบถามข้อมูล ดูได้ที่ http://www.thaigo.org หรือโทร. (662)648-2900

โดย : ชุลีพร อร่ามเนตร
ที่มา : คมชัดลึก

การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

Print Friendly

ด่วนที่สุด ที่ ศธ 04009/ว2850 การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

>> รายละเอียด <<

ร้องบิ๊กตู่ใช้ม.44 จัดการทุจริต สอบรองผอ.เขต

ทุจริต ผิดวินัย ไม่เหมาะ

Print Friendly

นายจำเริญ พรหมมาศ นายกสมาคมรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย และคณะ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่อง “ขอให้ตรวจสอบการเฉลยข้อสอบภาค ข. (ภาคความรู้ความสามารถด้านการวิเคราะห์กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานและการนำไปใช้) ว่า มีการเฉลยข้อสอบผิดในการดำเนินการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตามประกาศคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 และหาผู้รับผิดชอบที่ส่อว่าจะมีความไม่โปร่งใสและทุจริต” ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับเรื่องไว้ รวมถึงยื่นต่อ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เพื่อให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริง และหาผู้รับผิดชอบ

โดยในรายละเอียดของหนังสือระบุข้อเรียกร้องว่า

  1. ต้องการให้มีการตรวจสอบการเฉลยข้อสอบภาค ข. (ภาคความรู้ความสามารถด้านการวิเคราะห์กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานและการนำไปใช้) ว่ามีการเฉลยข้อสอบผิดจำนวนน้อยกว่าหรือมากกว่า 13 ข้อจริงหรือไม่
  2. หากพบว่ามีข้อสอบเฉลยผิดจริงให้ประกาศยกเลิกผลการสอบทั้งหมด ทั้งกลุ่มประสบการณ์และกลุ่มทั่วไป และให้มีการประกาศสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาใหม่ โดยให้สถาบันอุดมศึกษาที่เป็นที่ยอมรับเป็นหน่วยงานออกข้อสอบ และขอให้ยกเลิกการสอบคัดเลือกแบบกลุ่มประสบการณ์ คงเหลือแบบกลุ่มทั่วไปเท่านั้น
  3. ขอให้คณะกรรมการออกข้อสอบข้อเขียนแบบปรนัยตามคำสั่งคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 26 คน ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น พร้อมให้มีการตรวจสอบคณะกรรมการผู้ออกข้อสอบด้วย เพราะสร้างความเสียหายต่อวงราชการอย่างร้ายแรง
  4. เมื่อพบว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นจริง โปรดมีคำสั่งให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่เกิดจากผลการดำเนินการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตามประกาศคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ลงวันที่ 6 พ.ค.2557 หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าวทันที และให้ดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงตามกระบวนการดำเนินการทางวินัยต่อไป

ด้านนายจำเริญกล่าวว่า ตนได้ยินมาว่าคณะกรรมการที่ออกข้อสอบมีการเรียกรับเงิน ดังนั้นจึงขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยว่าเรื่องดังกล่าวมีมูลความจริงหรือไม่ และหากพบว่ามีการเรียกรับเงินจริง ก็ขอให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ดำเนินการเอาผิดกับคณะกรรมการที่เรียกรับเงินด้วย.

ที่มา : ไทยโพสต์

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

Our partners from Mexico:
Productos de salud
Carlos Torre