ปัดฝุ่น “สถาบันฝึกหัดครู” พัฒนาพลเมืองการศึกษาศตวรรษ 21 – ครูระยอง

Print Friendly

เมื่อก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ต้องยอมรับว่า การศึกษาเป็นหนึ่งในเรื่องที่ท้าทายต่อการคิดค้นแนวการสอนที่เชื่อมโยงกับความเป็นผู้นำ ค่านิยม และสร้างความเป็นพลเมืองให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศ และสังคมโลกอนาคต

สถาบันครุศึกษาแห่งชาติสิงคโปร์ หรือ National Institute of Education (NIE) เป็นสถาบันผลิตครูนักวิจัย (Teacher Researcher) มีบทบาทสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ทางการศึกษา โดย NIE จะทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่การกำหนดนโยบายจนถึงการปฏิบัติในโรงเรียน ร่วมกันทำวิจัยเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาการศึกษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพแก่ภาครัฐ ผ่านการจัดสัมมนานานาชาติอย่างต่อเนื่อง

สำหรับงานประชุมนานาชาติที่จัดขึ้นโดย NIE เป็นงานที่รวบรวมครู นักปฏิบัติ นักวิจัย ผู้นำทางการศึกษา และผู้กำหนดนโยบายการศึกษา โดยเปิดโอกาสเพื่อพูดคุยแบ่งปันความรู้ข้อมูลวิจัย พร้อมตัวอย่างการปฏิบัติที่ดีที่สุดจากต่างโรงเรียน ต่างวัฒนธรรม เพื่อมุ่งให้เกิดทิศทางและนวัตกรรมใหม่ ๆ สำหรับงานวิจัยและแนวปฏิบัติทางการศึกษา ล่าสุดจัดสัมมนานานาชาติ RedesigningPedagogy ครั้งที่ 6 เรื่อง “การพัฒนาผู้นำ ค่านิยม และความเป็นพลเมือง ในการจัดการศึกษาศตวรรษที่ 21”

ดังนั้นบริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้สื่อสารแหล่งเรียนรู้ทางด้านการศึกษาจึงจัดงานเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ในหัวข้อเรื่อง “บทเรียนจากสัมมนานานาชาติ การออกแบบการสอนใหม่ของสิงคโปร์ : เพื่อผู้นำ ค่านิยม และความเป็นพลเมืองในการศึกษาศตวรรษที่ 21”โดยมี “ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล” ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนสังคมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเปิดประสบการณ์จากการเข้าร่วมสัมมนา NIE ครั้งนี้

“ผศ.อรรถพล” ชี้ให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของประเทศสิงคโปร์ ในฐานะประเทศชั้นนำเรื่องการจัดการศึกษานานาชาติ ต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาครูตลอดจนบทบาทของผู้บริหารที่ต้องเปลี่ยนแปลงและรับกับสถานการณ์ของศตวรรษที่ 21

“ที่น่าสนใจคือเวทีนี้ไม่ได้จำกัดวงแค่นักวิชาการ แต่พบว่ามีครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของสิงคโปร์จากหลากหลายวิชาไม่ว่าจะเป็นพลศึกษา ดนตรี และสาขาวิชาอื่น ๆ เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีผู้นำการศึกษาทั้งจากสิงคโปร์ และประเทศอื่น ๆ ในยุโรป เอเชีย-แปซิฟิก และสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมงานกว่า 2,000 คน ส่งผลให้เกิดการคิดและวิเคราะห์ร่วมกันถึงการพัฒนาระบบการศึกษาสู่แนวทางการปฏิบัติระดับสากลอย่างแท้จริง”

“ผศ.อรรถพล”บอกว่าสิงคโปร์กำลังให้ความสำคัญต่อการเชื่อมโยงของสังคมที่เรียกว่า Civic Education หรือการสร้างสมดุลของชาติกับพลเมืองโลก เนื่องจากตลอด 20 ปีผ่านมา มีสัดส่วนคนต่างถิ่นจากตะวันตกเข้ามาอาศัยในสิงคโปร์มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลต่อการเรียนรู้ในวิชาประวัติศาสตร์ที่จะทำอย่างไรให้การเรียนการสอนในวิชาประวัติศาสตร์ไม่เลยเถิดเป็นกระแสชาตินิยมที่สุดโต่ง

“ขณะเดียวกันต้องเคารพและรู้สึกถึงความรักและภาคภูมิใจของคนในชาติดังนั้นการเชื่อมโยงในสังคมที่หลากหลายวัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องสอนเรื่องความหลากหลายแทรกซึมไปในทุกรายวิชาเพราะถือเป็นมิติสำคัญในการเตรียมพลเมืองให้อยู่ในความหลากหลายและเคารพซึ่งกันและกัน”

“คนสิงคโปร์มองว่าการสร้างอัตลักษณ์ให้เกิดขึ้นในชาติจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศถือเป็นเรื่องเปราะบางโดยอาจส่งผลกระทบต่อสังคมตามมา ดังนั้นความหลากหลายที่เกิดขึ้นในสังคมสิงคโปร์ที่มีคนต่างถิ่น ต่างชาติ ต่างภาษามาอยู่รวมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงต้องมีการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม เพื่อคงความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่หลาย ๆ ชาติไม่มี”

ไม่เพียงเท่านั้น สิงคโปร์ยังให้ความสำคัญต่อเรื่อง Global concern ผ่านการสร้างความตระหนักถึงความเป็นสากลอย่างมีสมรรถนะ โดยหยิบยกการสร้างความเป็นพลเมืองที่ดีของสิงคโปร์ไม่ใช่หน้าที่ของครูวิชาใดวิชาหนึ่ง แต่ครูทุกวิชาสามารถทำงานร่วมกันภายใต้เป้าหมายเดียวกันได้ เพราะหัวใจของการเรียนการสอนไม่ใช่แค่เนื้อหา แต่เป็นความรู้ ค่านิยมหลักที่ครูผู้สอนพึงมีมากกว่า

นอกจากนี้ “ผศ.อรรถพล” ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการสร้างพลเมืองสิงคโปร์อย่างแข็งแกร่ง จึงต้องเริ่มที่เยาวชนเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะเยาวชนคือศูนย์กลางการสร้างค่านิยมที่สำคัญของประเทศ

ดังนั้นสถาบันการศึกษามีหน้าที่สร้างความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนทัศนคติให้เยาวชนเข้าใจถึงสมรรถนะในการเป็นพลเมืองตามบทบาทและหน้าที่ของตนเองบนความคาดหวังอย่างเหมาะสมนี่คือโจทย์ที่นักการศึกษาใช้ขับเคลื่อนพลเมืองของสิงคโปร์ในศตวรรษที่ 21

“เพราะความตั้งใจของ NIE มีองค์ประกอบสำคัญในการทำให้ภาพของนโยบายเกิดขึ้นจริงในห้องเรียน ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่าสถาบันฝึกหัดครูสามารถตั้งรับนโยบายและมีส่วนร่วมในการวิจัยพัฒนาความรู้ทางการศึกษาที่ก่อให้เกิดนโยบายที่เหมาะสมต่อการทำงานในโรงเรียนทั้งยังเป็นสะพานเชื่อมจนทำให้เกิดกงล้อแห่งการพัฒนา”

“สิ่งเหล่านี้สะท้อนต่อการออกแบบการเรียนการสอนในประเทศไทยโดยสามารถประยุกต์วิธีการบริหารงานของสิงคโปร์ได้แม้บริบทและรูปแบบการบริหารงานของไทยและสิงคโปร์จะแตกต่างกันแต่แนวทางเรื่องการพัฒนาครูเป็นเรื่องที่น่าหยิบขึ้นมาดำเนินการโดยเฉพาะการผลิตครูระบบปิดเพื่อควบคุมคุณภาพครูให้ได้ ดังนั้นสถาบันฝึกหัดครูจึงควรเข้ามามีบทบาทร่วมกันอย่างเป็นระบบมากขึ้นในการเป็นพี่เลี้ยงให้แก่นิสิต นักศึกษาครู รวมถึงนำความรู้ความสามารถทางวิชาการและงานวิจัยเพราะจะเป็นข้อมูลสนับสนุนการกำหนดแนวทางเชิงนโยบาย และแผนงานวิจัยพัฒนาครูเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป”

จนนำไปสู่การขับเคลื่อนคุณภาพของเยาวชนและประสิทธิภาพของพลเมืองไทยในอนาคต

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

สพฐ.ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน

สพฐ

Print Friendly

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้จัดทำยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับคนไทยทุกคน เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ เพราะทรัพยากรมนุษย์มีความสำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าของชาติ ที่เกิดจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้เข้ามามีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ และลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง จะทำให้บรรลุเป้าหมายคุณภาพ คือ ผู้เรียนมีสมรรถนะด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะของเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 และขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อสร้างคนในชาติให้มีค่านิยมหลักของคนไทย ๑๒ ประการ ครอบคลุมและสอดคล้องกับลักษณะอันพึงประสงค์ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกฝังค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม ให้เกิดขึ้นกับเยาวชนไทยให้เป็นผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล

การปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา จึงเกิดแนวคิด “จุดแตกหักในห้องเรียน” เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3 ด้าน ได้แก่

  • ยุทธศาสตร์ด้านที่ ๑ การปฏิรูปการเรียนการสอน เช่น ปฏิรูปหลักสูตร ตำรา หนังสือเรียน โดยการปรับหลักสูตรปฐมวัย พ.ศ.๒๕๔๖ ให้เหมาะสมกับผู้เรียน ปรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๑ ส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น หลักสูตรการศึกษาทางเลือก การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ครูจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ได้เต็มเวลาเต็มหลักสูตร การปฏิรูปสื่อเทคโนโลยี นวัตกรรม และแหล่งเรียนรู้เพื่อการศึกษา ส่งเสริมการผลิต จัดหา ใช้สื่อนวัตกรรม และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้ การปฏิรูปการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ส่งเสริมการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง จัดทำคลังข้อสอบกลางที่มีคุณภาพและมาตรฐาน และนำผลการทดสอบไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน การปฏิรูปการนิเทศเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน โดยพัฒนาระบบการนิเทศกำกับติดตามเป็นแบบแอพพลิเคชั่น ศึกษานิเทศก์ (Supervision Application) ปรับบทบาทศึกษานิเทศก์ให้เป็นผู้นิเทศอย่างแท้จริง
  • ยุทธศาสตร์ด้านที่ 2 ปฏิรูปการพัฒนาวิชาชีพ เช่น การปฏิรูประบบการผลิตและการสรรหา ปรับระบบการผลิตครูทั้งปริมาณและคุณภาพที่สอดคล้องกับความต้องการของสถานศึกษา สรรหาให้ได้คนเก่งคนดีมาเป็นครู การปฏิรูประบบการพัฒนาครู เน้นการทำแผนพัฒนาครู กำหนดและประเมินสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับครู และพัฒนาครูโดยระบบ Action Learning ในสถานที่ปฏิบัติงาน พร้อมทั้งวัดและประเมินผลการพัฒนาครู การปฏิรูประบบค่าตอบแทนการปฏิบัติงาน และเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ ซึ่งพัฒนาระบบค่าตอบแทนที่จูงใจให้คนเก่ง คนดี มาเป็นครู พัฒนาระบบการยกย่องเชิดชูเกียรติครูให้สมกับวิชาชีพชั้นสูง ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตครูให้สูงขึ้น การปฏิรูประบบความก้าวหน้าทางวิชาชีพ ปรับระบบการประเมินความก้าวหน้าทางวิชาชีพให้เชื่อมโยงกับสมรรถนะการสอนและผลงานการสอนของครู
  • ยุทธศาสตร์ด้านที่ 3 ปฏิรูประบบการบริหารจัดการ เช่น การปฏิรูปวัฒนธรรมใหม่ของสถานศึกษา เน้นการส่งเสริมให้สถานศึกษาทุกแห่งเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community = PLC) สร้างระบบความรับผิดชอบระหว่างครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ปกครอง สนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการศึกษา สร้างภาวะผู้นำให้ผู้บริหารการศึกษาระดับเขตพื้นที่การศึกษา ครู และผู้บริหารสถานศึกษา การปฏิรูประบบการวางแผน โดยเริ่มจากการพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง และกำหนดแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน การปฏิรูประบบงบประมาณ เน้นกระจายอำนาจการบริหารงบประมาณไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา สำรวจความเหลื่อมล้ำในการอุดหนุนเงินรายบุคคลกับโรงเรียน สพฐ. ขนาดต่างๆ และความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียน การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจหน้าที่ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลในระดับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน การปฏิรูประบบการกำกับ ติดตาม และประเมินผล เพิ่มประสิทธิภาพการกำกับติดตามและประเมินผลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา การปฏิรูปโอกาสและคุณภาพการศึกษา เร่งพัฒนาคุณภาพ เพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม และเข้าถึงบริการการศึกษาที่มีคุณภาพ

การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น ได้ทำแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ระยะเร่งด่วนตามนโยบายเร่งด่วนของคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (ปีการศึกษา 2558) เด็กจบ ป.1 ต้องอ่านออกเขียนได้ และต้องมีการประเมินผลที่เป็น รูปธรรม การจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐานเสริมทักษะอาชีพเด็กชั้น ม.1 – ม.6 ต้องเลือกเรียนวิชาเสริมเป็นสาขาวิชาชีพเพื่อการวางแผนอาชีพในอนาคต อีกทั้งยังเน้นด้านการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) การจัดการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT) เพื่อสร้างโอกาสทางการเรียนการสอนให้ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผลิตคุณครูที่มีความเข้มข้น อาทิ คุรุทายาท ที่มีความสามารถตอบรับการสอนของเด็กได้อย่างแท้จริง

โดย : ศูนย์สารนิเทศการศึกษาขั้นพื้นฐานสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ที่มา : moe

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

“ณรงค์” ขานรับ “บิ๊กตู่” ถกลดเวลาเรียน

การศึกษาไทย

Print Friendly

จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยกล่าวถึงปัญหาอุปสรรคของการศึกษาไทยที่เวลาเรียนของเด็กมากเกินไป อยากให้กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)คิดว่า การจัดกลุ่มสาระการเรียนรู้เป็น 8 กลุ่มสาระจำเป็นหรือไม่ อยากให้มีการปรับหลักสูตร และลดเวลาเรียนลง เพื่อให้เด็กมีเวลาทำกิจกรรมกับพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ได้ทดลองปฎิบัติเรียนรู้ตามวัย โดยยกตัวอย่างต่างประเทศว่า สอนวิธีการทำงานด้วย แต่ปัญหาของไทย คือ จบมาแล้วมีความรู้ทำงานไม่เป็น คิดไม่ออก นั้น วันนี้ (13ก.ค.)พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศธ. กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เพื่อหาแนวทางดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย อย่างไรที่ผ่านมา ศธ.มีการดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรมาโดยตลอด แต่ไม่ใช่ปรับปรุงแล้วจบลงทันที ต้องมีการทดลองใช้ และประเมินผลว่า หลักสูตรที่ปรับปรุงนั้นได้ผลเป็นอย่างไร ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 2 ปี

“การปรับปรุงก็ต้องดูเป็นรายกลุ่มสาระ ซึ่งผมจะนำเข้าหารือในที่ประชุมผู้บริหารองค์กรหลักว่า จะปรับปรุงเนื้อหาสาระ หรือ ปรับลดเวลาเรียนส่วนใดได้บ้าง เพราะที่ผ่านมาก็ได้ปรับลดเวลาเรียนไปแล้วส่วนหนึ่ง เนื้อหาสาระการเรียนก็ไม่ได้แน่นหรือยัดเยียดจนเกินไป” รมว.ศธ.กล่าวและว่า เท่าที่ดูหลักสูตรที่ใช้จัดการเรียนการสอนในปัจจุบันก็ไม่ได้มากหรือยัดเยียดให้เด็กเรียนมากจนเกินไป ซึ่งตนได้มอบเป็นนโยบายไปแล้วว่า การจัดการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับการเรียนรู้ของเด็กแต่ละระดับชั้นด้วย

ที่มา : เดลินิวส์

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ชี้บัณฑิตศตวรรษที่ 21 ต้องมีทักษะสำคัญ 7 ประการ

ครูระยอง-บัณฑิต ครู

Print Friendly

นายสุภัทร จำปาทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวในการบรรยาย บทบาทการอุดมศึกษาไทย และการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในโครงการสัมมนาผู้บริหาร มก.หลักสูตรการบริหารภาควิชาสู่ความเป็นเลิศ ว่า ทิศทางอุดมศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 จะมุ่งพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน ปรับปรุง และยกระดับมาตรฐานหลักสูตรทางไกล อีเลิร์นนิ่ง พัตนาหลักสูตรการเรียนอินเตอร์

เพื่อก้าวสู่มหาวิทยาลัยระดับโลก ใช้ความสามารถของมหาวิทยาลัยพัฒนาอุตสาหกรรม และเน้นความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม ตอบโจทย์การสร้างความรู้ และนวัตกรรมพัฒนาประเทศ ผลิตบัณฑิตที่มีสมรรถนะ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน บัณฑิตในยุคนี้ต้องมีทักษะสำคัญ 7 ประการ คือ

  1. ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
  2. ทักษะความอยากรู้อยากเห็นและจินตนาการ
  3. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา
  4. ทักษะการเป็นผู้สร้างและรู้จักต่อยอดความคิด
  5. ทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน
  6. ทักษะการเป็นผู้ประกอบการ
  7. เข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่างและมีความรู้เกี่ยวกับโลก

ที่มา : มติชน

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

รัฐบาลพอใจนโยบายพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยครูตู้

Print Friendly

พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DCTV) หรือ ที่เรียกกันว่าครูตู้ พบว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง โดยตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการเมื่อปี 2557 สามารถขยายการให้บริการการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมแก่โรงเรียนขนาดเล็กที่มีคุณครูไม่ครบชั้น ได้ครบทุกโรงเรียนทั่วประเทศ จำนวน 15,369 โรง จากเดิมที่เคยมีระบบ DCTV เพียงแค่ 6,628 โรงเท่านั้น และช่วยให้นักเรียน 1,015,974 คนได้ศึกษาครบทุกกลุ่มสาระวิชา จากเดิมที่มีคุณครูไม่เพียงพอไม่ครบชั้น ทำให้การเรียนทำได้ไม่เต็มที่

“ผลการประเมินค่าการพัฒนาของนักเรียน ที่มีโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมเข้าไปช่วยสนับสนุนพบว่า มีการพัฒนาดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยวั�

“ณรงค์” ชี้องค์กรครูฟ้องศาลปกครอง เพราะไม่พอใจมติบอร์ดคุรุสภาเปิดทาง130 คนที่ไม่มีตั๋วครูได้รับบรรจุครูผู้ช่วย ยืนยันไตร่ตรองเหตุผลรอบด้านแล้ว

ทุจริต ผิดวินัย ไม่เหมาะ

Print Friendly

พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่สมาพันธ์สมาคมครูจังหวัดอุดรธานี เตรียมจะฟ้องศาลปกครองให้ดำเนินการกับคณะกรรมการคุรุสภาชุดใหม่ที่มีมติให้ บรรจุแต่งตั้งบุคคลที่จบปริญญาตรีสาขาอื่นและไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู จำนวน 130 คน เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่าเป็นมติที่ไม่ชอบนั้น หากองค์กรครูรู้สึกว่าไม่พอใจก็เป็นสิทธิที่จะยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ แต่ตนไม่แน่ใจว่ามีการฟ้องร้องศาลปกครองไปแล้วหรือยัง และหากยื่นไปแล้วคงต้องรอดูว่าศาลปกครองจะมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นไร ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าในการประชุมคณะกรรมการคุรุสภาที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วยดูเหตุผลอย่างรอบด้านแล้วจึงมีมติ อนุมัติและมอบให้นายกมล ศิริบรรณ รองปลัด ศธ.ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา ไปดำเนินการในรายละเอียดต่อไป

“ทุกคนมีสิทธิฟ้องร้อง ไม่มีปัญหาอะไร เพราะการอำนาจการบรรจุแต่งตั้งก็เป็นมติของบอร์ดคุรุสภาในการอนุมัติ จากนี้กระบวนการบรรจุและแต่งตั้งเป็นหน้าที่ของคุรุสภาที่ต้องดำเนินการตามมติดังกล่าวต่อไป หากจะฟ้องต่อศาลปกครองก็ให้ฟ้องร้องไปตามกระบวนการ ซึ่งยืนยันว่าการดำเนินการที่ผ่านมาเราพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลอย่างรอบคอบ ส่วนใครจะไม่เห็นด้วยนั้นก็ให้ว่าไปตามกระบวนการ ทั้งนี้ผมยังไม่ทราบเหตุผลและรายละเอียดที่จะมีการฟ้องร้อง แค่ทราบเบื้องต้นว่าเกี่ยวข้องกับการรักษาศักดิ์ศรีของครู เพียงแต่ศักดิ์ศรีเขียนไว้ในกฎหมายด้วยหรือเปล่าไม่รู้”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ที่มา :  ผู้จัดการ

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

แนะไทยเดินตามรอยสิงคโปร์เร่งปรับตัวพัฒนาคุณภาพครู

Print Friendly

“ความสำเร็จในการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ในทุกวันนี้ เป็นผลมาจากการทำงานหนักของรัฐบาลทุกชุด โดยมุ่งเน้นพลเมืองที่มีคุณภาพ ทำให้สิงคโปร์ให้น้ำหนักการพัฒนาครูตลอดสาย ไม่ใช่แค่การฝึกหัดครู เตรียมความพร้อมกับครูใหม่ แต่มีการติดตามครู ที่สำคัญครูของสิงคโปร์อยู่กับการสอนและพัฒนาตลอดเวลา ไม่มีภาระงานธุรการและมีโอกาสไปเสาะแสวงหาตักตวงความรู้ในเวทีวิชาการต่างๆ เพราะกระบวนการเรียนรู้ของครูมีผลโดยตรงต่อนักเรียน” ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงมุมมองการศึกษาของสิงคโปร์ ในการเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ เรื่อง “บทเรียนจากสัมมนานานาชาติการออกแบบการสอนใหม่ของสิงคโปร์ : เพื่อสร้างผู้นำ ค่านิยม และความเป็นพลเมืองในการศึกษาศตวรรษที่ 21” (Redesigning Pedagogy…Leader Values and Citizenship in21st Century Education) จัดโดยบริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เมื่อเร็วๆ นี้

              ผศ.อรรถพล เล่าว่า ได้มีโอกาสร่วมงานประชุมนานาชาติ “การออกแบบการสอนใหม่ของสิงคโปร์ เพื่อสร้างผู้นำ ค่านิยมและความเป็นพลเมืองในศตวรรษที่ 21” ของสถาบันครุศึกษาแห่งชาติสิงคโปร์ หรือ เอ็นไออี ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจัดประชุมทุก 2 ปี หัวข้อจะเปลี่ยนไปตามกระแสสังคมช่วงเวลานั้น โดยเวทีนี้ได้รวบรวมนักปฏิบัติ นักวิจัย นักวิชาการ ผู้นำการศึกษาทั้งของสิงคโปร์ และหลายชาติ ทั้งยุโรป เอเชียแปซิฟิก และอเมริกา เข้าร่วมกว่ามากกว่า 2,000 คน

             มีวิทยากรระดับโลกมาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาครู บทบาทของตัวผู้บริหารที่ต้องเปลี่ยนแปลงและรับมือกับสถานการณ์ของศตวรรษที่ 21 และที่น่าสนใจคือ เวทีนี้ไม่ได้จำกัดวงแค่นักวิชาการ แต่พบว่ามีครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของสิงคโปร์จากหลากหลายวิชา ไม่ว่าจะเป็น พลศึกษา ดนตรี มาร่วมงานจำนวนมาก ซึ่งช่วยกระตุ้นบรรยากาศเชิงวิชาการให้มีความหลากหลาย

             สิงคโปร์ ถือเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำเรื่องการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งความสำเร็จในการศึกษาต้องยอมรับว่า เป็นผลมาจากการทำงานหนักของรัฐบาลทุกชุดที่มุ่งเน้นพลเมืองที่มีคุณภาพ โดยจะให้ความสำคัญในการพัฒนาครู มีสถาบันครุศึกษาแห่งชาติ หรือ National Institute of Education (NIE) เป็นสถาบันผลิตครูนักวิจัย (Teacher Researcher) ที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่การกำหนดนโยบายไปจนถึงการปฏิบัติในโรงเรียน ร่วมกันทำวิจัยเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและสร้างการศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักเรียนทุกคน โดยเอ็นไออีจะทำงานเคียงข้างทั้งโรงเรียนและกระทรวงศึกษาธิการ เป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมและประสานความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน

             “ครูเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาการศึกษา ซึ่งสิงคโปร์ส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของครู และไม่ใช่เพียงการฝึกหัดครูเท่านั้น แต่เตรียมความพร้อมกับครูใหม่ มีการติดตามครู รวมถึงให้ครูอยู่กับการสอนและพัฒนาตลอดเวลา ไม่มีภาระงานธุรการ ครูต้องหาโอกาสให้ตัวเองได้ไปเสาะแสวงหา ตักตวงความรู้ในเวทีวิชาการต่างๆ เพราะกระบวนการเรียนรู้ของครูมีผลโดยตรงต่อนักเรียน อีกทั้งการจัดการศึกษาของสิงคโปร์มีความต่อเนื่อง จริงจังและเชื่อมโยงทั้งระบบ ครูไม่ถูกแทรกแซงด้วยนโยบายระหว่างทำงาน และไม่ถูกสั่งการ แตกต่างจากการศึกษาของไทยที่ยังคงเป็นการสั่งการจากระดับบนไปสู่ผู้ปฏิบัติ และการพัฒนาครูของไทยยังขาดการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงเรียน” ผศ.อรรถพล กล่าว

             ผศ.อรรถพล กล่าวต่อว่า มหาวิทยาลัยหลายแห่งยังให้ความสำคัญในเรื่องของการฝึกหักครูน้อย เนื่องจากมองว่านิสิต นักศึกษาครูเดินเข้าโรงเรียนสามารถสอนได้ ทั้งที่ความจริงนิสิตนักศึกษาครูเพิ่งจบชั่วโมงบินและทักษะการฝึกปฏิบัติยังไม่มาก เมื่อไปเจอประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่ดีอาจส่งผลต่อความหมดศรัทธาในวิชาชีพครูได้ ดังนั้นตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จึงเร่งผลักดันการจัดทำระบบพี่เลี้ยงให้เข้มแข็ง เช่น จุฬาฯ โดยได้ร่วมมือกับโรงเรียนเครือข่ายกว่า 30 แห่ง ในการพัฒนาคุณภาพครูเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพเด็ก

             อย่างไรก็ตาม การสอนที่จะสร้างสรรค์ความเป็นผู้นำ ค่านิยม และสร้างความเป็นพลเมืองให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ นักการศึกษาทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันผลิตครู คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ผู้บริหารโรงเรียน และครูเอง ต้องร่วมมือกันพัฒนาการศึกษา ซึ่งอาจจะนำบทเรียน การออกแบบการสอนใหม่ของสิงคโปร์มาใช้ เพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

โดย : เกศกาญจน์ บุญเพ็ญ
ที่มา : คมชัดลึก

ศธ.เล็งลดวงเงินกู้แก้ปัญหาหนี้ครู 1 ล้านล้านบาท – ครูระยอง

Print Friendly

พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารออมสินและกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมออกมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่า มาตรการดังกล่าวมุ่งเน้นเรื่องการสร้างความรู้และสร้างวินัยทางการเงิน ให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคนด้วย เพราะประเด็นปัญหาหนี้สินครูไม่ได้เกิดจากการประกอบอาชีพครู แต่เป็นเพราะครูมีโอกาสกู้ยืมเงินได้ง่ายและได้เงินก้อนใหญ่ เช่น โครงการสวัสดิการเงินกู้ฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลาการทางการ ศึกษา (ช.พ.ค.) ที่ให้วงเงินกู้สูงสุดถึง 3 ล้านบาท โดยเฉพาะครูใหม่ที่เพิ่งรับราชการก็มีโอกาสกู้ด้วยทั้งที่เงินเดือนยังไม่มากเป็นการสร้างหนี้ให้ครูแต่ต้น และเมื่อกู้ง่ายครูก็นำเงินก้อนนี้ไปลงทุนทำธุรกิจอื่นซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับอาชีพครู อาจจะประสบปัญหาขาดทุนไม่มีเงินผ่อนชำระหนี้สิน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุคือหาวิธีการควบคุมการกู้เงิน

“ต้องหาวิธีควบคุมการกู้เงิน โดยให้พิจารณาความสามารถในการจ่ายคืน ไม่ปล่อยให้เป็นหนี้พอกหางหมู และทำให้หนี้สินครูสูงกว่าราชการในหน่วยงานอื่นๆทั้งที่เงินเดือนใกล้เคียงกันหรืออาจสูงกว่าด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันต้องมีเงินเหลือพอใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วย ที่ผ่านมาในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ก็ได้มีการหารือเพื่อลดวงเงินกู้ลงมา รวมถึงจะต้องลดโครงการสวัสดิการอื่นๆ ที่ทำให้ครูมีหนี้ได้ง่ายขึ้น”พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าว

รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัด ศธ. กล่าวว่า สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีข้อสรุปว่า จะต้องแบ่งลูกหนี้ ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1 กลุ่มลูกหนี้วิกฤตรุนแรง กลุ่มที่ 2 ลูกหนี้ใกล้วิกฤต กลุ่มที่ 3 ลูกหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 12 งวดติดต่อกันนับถึงวันที่ 1 มิ.ย. 2558 ให้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามมาตรการของธนาคาร และกลุ่มสุดท้ายลูกหนี้ปกติ คือ ลูกหนี้ที่ยังไม่ผิดนัดชำระ ให้พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี แต่ให้ชำระดอกเบี้ย โดยได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ทำหนังสือแจ้งเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ

สำหรับขั้นตอนในการเข้าร่วมมาตรการระยะแรก คือ ลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงข้าราชการบำนาญสังกัด ศธ. จะต้องไปลงทะเบียนที่ธนาคารออมสิน และแจ้งหน่วยงานต้นสังกัดให้รับรอง ภายในวันที่ 31 ก.ค.2558 อย่างไรก็ตาม จากข้อมูล พบว่ามีครูที่อยู่ในกลุ่มลูกหนี้วิกฤตรุนแรง ซึ่งได้ไปร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี ประมาณ 1,700คน ส่วนกลุ่มที่ 2 คือลูกใกล้วิกฤตมีจำนวนหลายหมื่นคน ส่วนกลุ่มอื่นยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ส่วนมูลค่าหนี้ทั้งหมดอยู่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท

ที่มา : ผู้จัดการ

ศธ.เตรียมประกาศ ออกกฎกระทรวง คุมครูกวดวิชา – ครูระยอง


ศธ.เตรียมประกาศ ออกกฎกระทรวง คุมครูกวดวิชา

การศึกษาไทย

Print Friendly

นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ปลัด ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในโอกาสเดินทางไปพบปะและมอบนโยบายผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ที่อาคารสำนักงาน สช.ชั่วคราว โรงเรียนโยนออฟอาร์คบริหารธุรกิจ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ขอให้ผู้บริหาร สช.ยึดหลัก 4 S ในการทำงาน

  • S ที่ 1 Service Mind การมีจิตใจในการให้บริหาร
  • S ที่ 2 Speed การทำงานที่รวดเร็ว
  • S ที่ 3 Smart การมีความน่าเชื่อถือ ในภาพลักษณ์ของบุคลากรในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง และเพิ่มทักษะด้านภาษาอังกฤษให้มากขึ้น
  • S ที่ 4 Systematically การทำงานอย่างเป็นระบบ การวางมาตรฐานการทำงาน เพื่อให้งานเกิดการพัฒนาและมีคุณภาพ ต้องเริ่มจากการทำงานที่เป็นระบบและมีแบบแผน ผู้ที่วางระบบที่ดี จะทำให้องค์กรสามารถเดินหน้าได้อย่างมีคุณภาพ ทั้งขอเน้นย้ำการปฏิบัติงานต้องไม่มีการทุจริตและคอร์รัปชัน

“ผมขอฝากให้ สช.ดูแลตามนโยบายว่า จะมีการดำเนินการอย่างไร ไม่ให้มีการเก็บค่าเล่าเรียนเกินกว่าที่ทางกฎหมายโรงเรียนเอกชนกำหนด และในส่วนของโรงเรียนกวดวิชา โดยเฉพาะที่มีข้อครหาว่าครูไม่สอนในชั้นเรียนให้เต็มที่ ทำให้ต้องมีการออกมาเปิดโรงเรียนกวดวิชา ก็จะมีการออกกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ครูที่ทำการเปิดสอนโรงเรียนกวดวิชา ทำการสอนในช่วงเวลาเรียนให้เต็มที่” ปลัด ศธ.กล่าว.

ที่มา : ไทยโพสต์

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ร่างพ.ร.บ.ซูเปอร์บอร์ดยังไม่ลงตัว

Print Friendly

พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการการประชุมคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ที่ประชุมได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายการศึกษาและพัฒนามนุษย์แห่งชาติ ซึ่งหลังการพิจารณาที่ประชุมได้ขอให้อนุกรรมการฝ่ายกฎหมายนำไปหารือเพื่อให้ได้ข้อยุติในแนวทางเดียวกับร่าง พ.ร.บ.ของ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการยกร่าง เนื่องจากยังมีบางประเด็นที่ยังขัดแย้ง อาทิ ความเป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง โดยร่างของ ศธ.ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และรมว.ศึกษาธิการเป็นรองประธาน ในขณะที่ร่างของ สปช.ต้องการให้ปลอดจากการเมืองโดยให้คัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานและรองประธานแทน ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่เพราะเห็นว่าหากไม่มีนายกฯและรัฐมนตรีฝ่ายปฏิบัติ งานอาจจะไม่เชื่อมโยง จึงให้ไปหารือร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อยุติเหลือเพียงร่างเดียว นำเสนอให้ที่ประชุมเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา เพื่อเป็นกรอบในการกำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อให้สถานศึกษามีอิสระและความคล่องตัวในการบริหารจัดการตนเองตามแนวทางการบริหารจัดการที่ใช้โรงเรียนเป็นฐาน ซึ่งหลักการที่สำคัญ คือ รัฐต้องการส่งเสริมให้มีการแข่งขันระหว่างสถานศึกษาทุกประเภท โดยมีการจัดหลักสูตรและวิธีการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เรียนให้ไปได้ไกลที่สุดเท่าที่ความสามารถแต่ละบุคคลพึงมี ทั้งยังต้องการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการระดมทุนและสนองทุนเพื่อการศึกษาให้มีบริการการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ รวมถึงเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาด้วย โดยที่ประชุมได้มอบให้คณะอนุกรรมการปฏิรูประบบทรัพยากรและการเงินเพื่อการศึกษา นำความเห็นจากที่ประชุมไปพิจารณากำหนดเป็นแนวทางดำเนินการ ซึ่งอาจทำเป็นรูปแบบหรือวิธีการนำร่องที่มีความเหมาะสม เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาต่อไป

ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการของแนวทางการส่งเสริมความเป็นอิสระของสถานศึกษา ตามที่คณะอนุกรรมการปฏิรูประบบการกระจายอำนาจเสนอ เพื่อต้องการให้สถานศึกษาสามารถขับเคลื่อนภารกิจที่ได้รับจากการกระจายอำนาจการบริหารจัดการศึกษาจากส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยยึดหลักการที่สำคัญ 9 ข้อ คือ

  1. หลักความเป็นอิสระ
  2. หลักความยืดหยุ่นของการบริหารจัดการ
  3. หลักการเสริมพลัง
  4. หลักความเชื่อถือและไว้วางใจ
  5. หลักการมีส่วนร่วม
  6. หลักการบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์
  7. หลักการบริหารจัดการที่ดี
  8. หลักความรับผิดชอบ
  9. หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล

นอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการปรับปรุงพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ เพื่อแก้ไขพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 (พ.ศ.2545) และครั้งที่ 3 (พ.ศ.2553) โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานอนุกรรมการ.

ที่มา : เดลินิวส์

Our partners from Mexico:
Productos de salud
Carlos Torre